Talk of The Town

IRPC เร่ขายสินทรัพย์! หวังช่วยให้บริษัทมีกำไร โบรกฯคาดชัดเจนภายใน 3-6 เดือน


20 พฤษภาคม 2568

IRPC มีแผนขายสินทรัพย์ เช่น การขายที่ดินและการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือและคลังสินค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้กำไรของบริษัทกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง

IRPC เร่ขายสินทรัพย์!_S2T (เว็บ)_0.jpg

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า IRPC มีแผนขายสินทรัพย์ที่เป็น non-core/ไม่มี synergy กับธุรกิจปัจจุบัน (คาดว่าจะเห็นความชัดเจน ภายใน 3-6 เดือนข้างหน้า)

โดย บริษัทมีแผนลด unit cost ลงราว 1.2 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ภายในปี 70 จากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่วน Potential strategic partner ที่จะเข้ามาจะมาจาก การขายหุ้นเพิ่มทุน (PTT จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่)

อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างราคาปิโตรเคมียังคงมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ใน ระดับต่ำต่อเนื่อง กดดันจากภาวะอุปทานล้นตลาด โดยแนวโน้มผลการดาเนินงานไตรมาส 2/68 ยังคงอ่อนแอ จึงยังคงคำแนะนำ “ขาย”

ขณะที่ความเห็นนักวิเคราะห์บริษัท หลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางวัฏจักรขาลงของปิโตรเคมี IRPC มีแผนมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนการจัดหาวัตถุดิบ ควบคุมค่าใช้จ่ายบุคลากร และลดปริมาณสต๊อกน้ำมันจาก 10 ล้านบาร์เรล เหลือ 7.5 ล้านบาร์เรล โดยมีแผนใช้อัตรากำลังการกลั่นของโรงกลั่น IRPC ที่ระดับ 1.90–2.10 แสนบาร์เรลต่อวัน

จากกิจกรรมเหล่านี้ผู้บริหารคาดว่าจะสามารถเพิ่มความสามารถในการทำกำไรของบริษัทฯ ได้ประมาณ 1.2 ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาร์เรล หรือ 2 พันล้านบาทต่อปีภายในปี 2570

นอกจากนี้ IRPC ยังมีแผนแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสด เช่น การขายที่ดินและการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือและคลังสินค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้กำไรของบริษัทกลับมาเป็นบวกอีกครั้ง

ขณะที่บริษัทฯ อยู่ระหว่างการมองหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและลดจุดอ่อน ผ่านความได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบ หรือการขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ ซึ่ง อาจเกี่ยวข้องกับการเพิ่มทุนใหม่ให้กับพันธมิตรรายนั้น โดยที่ PTT จะลดสัดส่วนการถือหุ้นลง แต่ยังคงถือหุ้น ใหญ่ในบริษัทฯ ต่อไป เงินที่ได้รับจากการเพิ่ม ทุนจะถูกนำมาใช้ในการลดหนี้ในช่วงที่อุตสาหกรรมปิโตรเคมีอยู่ในวัฏจักรขาลง

ทอย่างไรก็ตาม ประเมินว่ามีความเสี่ยงขาลงต่อประมาณการกำไรปี 2568 เนื่องจากขาดทุนสุทธิในไตรมาส 1/2568 คิดเป็น 37% ของประมาณการขาดทุนทั้งปี และคาดว่ากำไรในไตรมาส 2/2568 จะยังคงขาดทุนต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ติดต่อกัน

ดังนั้นจึงคงคำแนะนำ “ถือ” พร้อมให้ราคาเป้าหมายกลางปี 2569 ที่ 0.94 บาท อิงจากค่า PBV ที่ 0.30 เท่า สำหรับปี 2568-69 โดยความเสี่ยงหลัก คือ ราคาหุ้นที่จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่พันธมิตรทางยุทธศาสตร์ ผลกระทบจากการลดสัดส่วนการถือหุ้น และมูลค่าเพิ่มที่ได้จากพันธมิตรรายใหม่ดังกล่าว