Talk of The Town

SCGD มั่นใจฐานการผลิตเวียดนาม หนุนเติบโตระยะยาว ลดต้นทุนในไทย รับมือความผันผวนเศรษฐกิจ


11 กรกฎาคม 2568

เมื่อไม่นานมานี้ Share2Trade ได้มีโอกาสฟังมุมมองกลยุทธ์จากคุณนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD ในรายการ LIB Insight ของ บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด  

S__46702651.jpg

โดยคุณนำพล ได้เล่าถึงแผนภาพรวมการลดต้นทุนด้านพลังงานของ SCGD และการที่จะใช้เวียดนามเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอื่นๆนอกเหนือจากกลุ่ม CLMV รวมถึงการผลิตสินค้าที่เป็นแบบ HVA เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน 

ทั้งนี้ SCGD มีแผนรับมือกับความผันผวนของพลังงานอย่างไร และแผนรับมือนี้จะช่วยได้มากน้อยขนาดไหน การเติบโตของอุตสาหกรรมนี้จะกลับมาเมื่อไหร่ และกลยุทธ์อะไรเป็นปัจจัยที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโต share2trade จะพาไปหาคำตอบ 

โดยเริ่มเรื่องคุณนำพล เล่าว่าผลประกอบการของ SCGD ในไตรมาส 1/68 ที่ผ่านมาบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องของอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิ

ซึ่งในเรื่องของนโยบายภาษีของทางสหรัฐนั้น SCGD ได้รับผลกระทบโดยตรงไม่มาก เนื่องจากมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯน้อยกว่า 1% รวมไปถึงในด้านของความผันผวนของราคาพลังงานก็มีแนวโน้มที่จะทรงตัว

ขณะเดียวกันถึงแม้ว่าดีมานในประเทศจะชะลอตัวลง แต่ความต้องการสินค้าของตลาดต่างประเทศยังมีสัญญาณเป็นบวก โดยเฉพาะในเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ 

คุณนำพล อธิบายว่า สิ่งที่บริษัททำมาโดยตลอดก็คือเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการทำในด้านของการประหยัดพลังงาน เพื่อหลีกเลี่ยงความผันผวนของต้นทุนพลังงาน

โดยบริษัทฯ ดำเนินงานด้านการลดต้นทุนด้านพลังงานด้วยการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานโซลาร์ และใช้พลังงานความร้อนจากพลังงานชีวมวล เพื่อลดความผันผวนจากราคาพลังงาน ซึ่งช่วยลดปัจจัยเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก เพื่อทำให้ต้นทุนลดลง

ล่าสุดโรงงานที่ประเทศเวียดนาม ได้มีการลงทุนก่อสร้างโรงไบโอแมส แก๊ซซิไฟเออร์ เพื่อนำเชื้อเพลิงชีวมวล มาผลิตเป็นพลังงานความร้อนในกระบวนการอบกระเบื้อง ลดการใช้ถ่านหิน ซึ่งช่วยประหยัดไปได้ปีละไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท 

นอกจากนี้ คุณนำพล ยังได้ขยายความต่อว่า มองเห็นตลาดที่เวียดนามมีศักยภาพในการเติบโต และเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะชะลอตัวมาแล้วกว่า 2 ปี 

ดังนั้น SCGD จึงมีแผนว่าต่อจากนี้ไปจะใช้ประเทศเวียดนามเป็นฐานการผลิต และส่งออกไปยังทุกประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย เพราะเนื่องจากมีโครงสร้างต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้  

สำหรับกลุ่มประเทศที่ SCGD มีแผนจะขยาย และไปทำตลาดให้มากขึ้นคือประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้เปรียบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และออสเตรเลียมีแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะดีขึ้น 

อีกทั้งจะขยายไปยังกลุ่มประเทศเกาหลีใต้ ไต้หวัน ที่มีภาษีนำเข้ากับจีน และยังมีบางกลุ่มประเทศในทวีปยุโรปที่บริษัทได้เริ่มส่งสินค้าตัวอย่างไปแล้ว

รวมไปถึง SCGD ได้มีการลงทุนในสินค้า HVA ในกลุ่มกระเบื้องที่เวียดนาม ซึ่งสัดส่วนของสินค้าดังกล่าวมียอดขายที่เติบโตในไตรมาส 1/68  จึงสนับสนุนให้สัดส่วนของสินค้า HVA เพิ่มขึ้นเป็น 35-36% ของยอดขายรวม

สำหรับประเด็นเรื่องการแข่งขันกับสินค้าจากจีนนั้น SCGD ได้มีการบริหารเรื่องของต้นทุนการผลิตเพื่อให้ลดลงเท่ากับสินค้าจากประเทศจีนให้ได้มากที่สุด 

ด้วยวิธีการปรับโครงสร้าง ปรับสูตร และเพิ่มประสิทธิภาพในหลายด้าน รวมไปถึงโครงสร้างด้านพลังงานที่เวียดนามใช้ถ่านหิน ซึ่งถูกกว่าเมื่อเทียบกับจีนที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งสุดท้ายแล้วส่งผลให้บริษัทมีต้นทุนได้ต่ำกว่าสินค้านำเข้าจากจีน 

ทั้งนี้หากดูในแง่ของงบการเงิน คุณนำพล ฉายภาพให้เห็นว่า SCGD มีงบการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีสินทรัพย์ประมาณ 3.94 หมื่นล้านบาท และมีเงินสดจำนวน 9,200 ล้านบาท มีหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย จำนวน 13,857 ล้านบาท

ขณะที่ Net Debt to EBITDA อยู่ที่ 1.4 เท่า ขณะที่ D/E อยู่ที่ 0.2 เท่า ซึ่งส่งผลให้บริษัทยังมีความสามารถในการที่จะสร้างการเติบโตด้วยการทำ M&A ซึ่งอยู่ในแผนตั้งแต่ที่ได้มีการควบรวมกันมาแล้ว 

โดยบริษัทก็มีแผนที่จะขยายกำลังผลิตสุขภัณฑ์และเซรามิกที่เวียดนาม ถึงแม้ว่าในขณะนี้มาร์เก็ตแชร์ของผลิตภัณฑ์เซรามิกจะเป็นอันดับที่หนึ่ง แต่สัดส่วนยังไม่เยอะมาก ดังนั้นจึงยังสามารถทำ M&P เพื่อขยายการเติบโตได้

ขณะที่ด้านสุขภัณฑ์ ปัจจุบัน SCGD มีโรงงานหลักๆที่ประเทศไทย ซึ่งบริษัทมีแผนเร่งขยายธุรกิจไปยังในอาเซียน ทำให้ต้องการฐานการผลิตแหล่งที่สองโดยเฉพาะที่เวียดนาม ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาอยู่

สำหรับภาพของในอนาคต คุณนำพล ให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจว่า ตลาดในเมืองไทยยังมองไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน จากปัจจัยตัวแปรด้านของการเมืองที่ยังทำให้ไม่เห็นสัญญาณที่เป็นบวก

แต่ขณะที่ในตลาดฝั่งต่างประเทศ SCGD เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยเฉพาะที่เวียดนาม ซึ่งมีความจำเป็นที่ทำให้ SCGD จะต้องเร่งกระตุ้น เพื่อให้ยอดขายมาชดเชยกับภาพรวมของบริษัท

ส่วนในด้านของต้นทุนพลังงาน ก็เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถคาดเดาได้ เพราะราคาน้ำมันมีความผันผวนตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งแผนการปรับโครงสร้างการใช้พลังงาน จะช่วยลดความผันผวนจากปัจจัยภายนอกได้

โดยคุณนำพล กล่าวย้ำว่า สิ่งที่ SCGD ทำมาโดยตลอดเช่นการคุมต้นทุน และการเพิ่มสินค้า HVA นั้นหากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ถ้าอุตสาหกรรมกลับมาฟื้นตัว ก็จะเป็นบวกกับธุรกิจของบริษัท   

สำหรับมุมมองในด้านของความกังวลทางธุรกิจคุณนำพล เล่าว่า เนื่องจากไทยเป็นพอร์ตใหญ่ที่สุด และเห็นสัญญาณแล้วในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้มีปรับโครงสร้างภายใน และทำต้นทุนให้ดีขึ้น เพื่อรอดีมานกลับมา

ส่วนต่างประเทศ ความท้าทายก็คือจะทำอย่างไรให้ประเทศเวียดนามสามารถเติบโตและชดเชยภาพรวมของกลุ่มที่หายไปได้ ซึ่งมีความจำเป็นต้องเร่ง โดยสัญญาณเป็นบวกต่อเนื่องตั้งแต่ปลายไตรมาส 1/68

แต่อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการจากต่างประเทศนั้น ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อพิจารณาผลประกอบการซึ่งแสดงเป็นเงินบาท อาจจะไม่เห็นผลประกอบการที่แท้จริงได้ 

สุดท้ายคุณนำพล ได้เล่าว่า SCGD ได้มีการปรับกลยุทธ์เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และมองว่าตลาดในกลุ่มอาเซียนยังเป็นโอกกาสที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับบริษัท

S__46702650.jpg