Talk of The Town

“ดร.นิเวศน์” แนะสูตรลงทุน วิธีเอาตัวรอดในตลาดหุ้นไทย สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 5%


26 พฤษภาคม 2568

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investor) ชั้นแนวหน้า ได้ให้มุมมองว่าในภาวะที่ตลาดหุ้นซบเซาและดัชนีตลาดหุ้น “ตกทุกวัน” อย่างต่อเนื่อง และแม้แต่หุ้นที่ดีและประกาศผลการดำเนินงานที่ “น่าประทับใจ” และราคาก็ไม่แพง  บางตัวถูกที่สุดในประวัติศาสตร์ของตัวหุ้น แต่หุ้นกลับตกลงมาแรงอย่างผิดคาด 

“ดร.นิเวศน์” แนะสูตรลงทุน_S2T (เว็บ)_0.jpg

และนั่นคงทำให้นักลงทุนซึ่งรวมถึง “VI” ทั้งที่เป็นพันธุ์แท้และพันทาง ต่างก็ “หมดหวัง” กับตลาดหุ้นไทย นักลงทุนจำนวนมากทยอยขายหุ้น  หลายคนเปลี่ยนไปลงทุนหุ้นต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้สามารถทำได้ง่ายพอ ๆ กับการลงทุนในหุ้นไทยและไม่เสียภาษีกำไรจากหุ้นเช่นกัน  โดยทำผ่านการซื้อ  “DR” และกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศที่กำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่สำหรับผมและนักลงทุนอีกจำนวนมากที่ลงทุนระยะยาว ที่เป็นการลงทุน “เพื่อชีวิต” และชีวิตตอนนี้อยู่ได้อย่างสบายก็อาศัยเงินจากการลงทุนนั้น  ผมจำเป็นต้องมีหุ้นไทย  และจะต้องมีหุ้นไทยจำนวนพอเพียงที่จะใช้ชีวิตในระดับปัจจุบันและอนาคตโดยไม่ต้องวิตกกังวล  คำถามก็คือ  เราจะต้องมีหุ้นไทยแบบไหนที่จะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีพอและปลอดภัยมากในระยะยาวไม่ว่าตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้

สูตร” การลงทุนหุ้นที่จะ “เอาตัวรอด” ได้ในสถานการณ์แบบนี้ของตลาดหุ้นไทยของผมก็คือ “สูตรหุ้นรอด 5-5-5-5” ซึ่งผมคาดว่าน่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้อย่างน้อยปีละ 5% แบบทบต้นในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้าโดยที่มีความเสี่ยงต่ำ และแม้ว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะไม่ดีในอีกหลายปีข้างหน้า พอร์ตหุ้นนี้ก็จะสามารถทนทานกับภาวะเลวร้ายได้ เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นที่เราเลือกมานั้น ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดโดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจไม่ดี มาดูกันว่ากลยุทธ์ของสูตรนี้คืออะไร

หมายเลข 5 ตัวแรกคือการเลือกหุ้นที่ปัจจุบันจ่ายปันผลตอบแทนอย่างน้อย 5% ต่อปีขึ้นไป ซึ่งเวลานี้ก็มีหุ้นแบบนี้อยู่จำนวนไม่น้อย  อย่างไรก็ตาม  ควรจะดูว่าเป็นการจ่ายปันผล “ปกติ” คือเป็นการจ่ายจาก “กำไรปกติ” จากการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา  จะจ่ายปันผล 100% ของกำไรก็ได้  เพราะในกลยุทธ์การเลือกหุ้นของเรานั้น  จะเน้นหุ้นที่มั่นคงแข็งแกร่ง  มีเงินสดเหลือเฟือที่จะรับกับสถานการณ์เลวร้ายทางเศรษฐกิจได้

เลข 5 ตัวที่สองก็คือ  หุ้นที่เราจะเลือกนั้น เราต้องคาดการณ์และมั่นใจว่า อีก 5 ปีข้างหน้า ปันผลที่เราจะได้รับนั้น ก็ยังไม่น้อยกว่า 5% จากราคาหุ้นที่เราซื้อได้ในวันนี้ ซึ่งนั่นอาจจะหมายความว่า

1.ถ้าหุ้นตัวนั้นจ่ายปันผลตอบแทนให้เรา 5% ต่อปีในวันนี้ ปันผลในอีก 5 ปีข้างหน้า เราเชื่อมั่นว่าจะไม่ลดลง ยังคงจ่ายได้อย่างน้อยเท่าเดิมในวันนี้ อาจจะเพราะว่าหุ้นอยู่ในธุรกิจที่ยังไปได้เรื่อย ๆ และแม้ว่าอาจจะไม่โตแต่ก็ไม่ลดลง และบริษัทก็ยังน่าจะรักษาสถานะในการแข่งขันและทำผลกำไรได้เหมือนเดิม ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่นในธุรกิจธนาคารที่อาจจะอิ่มตัวและการแข่งขันก็ไม่รุนแรง และธนาคารส่วนใหญ่ก็มีการบริหารงานที่ดีในการลดความเสี่ยงของธุรกิจ เป็นต้น

 2.ถ้าหุ้นตัวนั้นจ่ายปันผลมากกว่า 5% ในวันนี้ เช่น จ่าย 6-8% และเราเชื่อมั่นว่า ในอีก 5 ปี ข้างหน้า แม้ว่าธุรกิจจะตกลงมาบ้าง  กำไรก็อาจจะถดถอยลงบ้าง แต่ยังไงเขาก็ยังรักษาระดับการจ่ายปันผลที่ทำให้เราได้รับปันผลตอบแทนจากราคาหุ้นในวันนี้ไม่น้อยกว่า 5% ต่อปี  หุ้นตัวนี้ก็ยังเข้าข่ายที่เราจะเลือกซื้อหรือเก็บไว้ได้  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องระวังก็คือ แทนที่ปันผลจะลดลงเล็กน้อยในช่วง 5 ปี  มันอาจจะลดลงมากจนทำให้หุ้นหมดสภาพที่จะจ่ายปันผลได้ดีแล้ว หายนะก็อาจจะเกิดขึ้นได้  ในกรณีแบบนี้  การดูสถิติการจ่ายปันผลย้อนหลังไปหลายปีจะช่วยให้เราวิเคราะห์ได้ดีขึ้น

3.อาจจะถือว่าเป็นข้อยกเว้น ก็คือ ในกรณีที่ปัจจุบันหุ้นจ่ายปันผลน้อยกว่า 5% ต่อปี เช่น อาจจะ 2-3% ต่อปี แต่เป็นการจ่ายปันผลที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ และเรามั่นใจว่าภายใน 5 ปี ปันผลที่จ่ายจะคิดเป็นไม่น้อยกว่า 5% จากราคาหุ้นในวันนี้ อาจจะเพราะธุรกิจของบริษัทแข็งแกร่งและมั่นคงมาก ผลประกอบการของบริษัทยังเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไรมาขวาง แบบนี้ก็ถือว่าเป็นหุ้นที่เข้าข่ายจะเป็น “หุ้นรอด” ได้แม้ว่าวันนี้อาจจะยังไม่ใช่ “หุ้นปันผล”

เลข 5 ตัวที่สามคือจำนวนของหุ้นใน “พอร์ตหุ้นรอด” ซึ่งจะเป็นหุ้นปันผลอย่างน้อย 5 ตัวที่เราเลือก  จะต้องเป็นหุ้นที่มาจากอุตสาหกรรมหลากหลายอย่างน้อย 5 อุตสาหกรรมเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในกรณีที่บางอุตสาหกรรมอาจจะประสบกับปัญหารุนแรงในช่วง 5 ปีข้างหน้า  ตัวอย่างเช่น  เราอาจจะมีหุ้นปันผลในอุตสาหกรรมการเงิน 1 ตัวหรืออย่างมากอาจจะ 2 ตัว  หุ้นในธุรกิจสื่อสาร 1 ตัว  หุ้นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1 ตัว  หุ้นค้าปลีก 1 ตัว  หุ้นสินค้าผู้บริโภคที่มียี่ห้อ 1 ตัว  รวมแล้วมีหุ้น 6 ตัวใน 5 อุตสาหกรรม  เป็นต้น

เลข 5 ตัวสุดท้ายก็คือ  เราจะต้องตั้งเป้าหมายว่าพอร์ตนี้จะต้องถือต่อไปซัก 5 ปี  ถึงจะเห็นผลชัดเจน  ในระหว่างนั้น  เราก็คงจะพบว่าหุ้นบางตัวอาจจะดีเกินคาด  บางตัวก็ตามคาด  และบางตัวก็จะต่ำกว่าคาด  แต่ถ้าโดยรวมแล้วผลตอบแทนซึ่งแน่นอนว่าต้องรวมปันผลที่ได้รับ  ได้ถึง “เป้า” คืออย่างน้อย 5% ต่อปี  ก็แสดงว่ากลยุทธ์นั้น  ใช้ได้  อาจจะไม่ต้องปรับอะไร  แต่ถ้าผลตอบแทนบางปีต่ำกว่าที่คาด  ก็ต้องประเมินว่าเกิดจากอะไร  บางทีอาจจะเป็นสถานการณ์ชั่วคราว  ก็ไม่ต้องทำอะไร  แต่ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงหรืออาจจะเป็นเรื่องที่เราเลือกหุ้นผิด คือปันผลของหุ้นบางตัวลดลงมากและถาวร  ก็ต้องปรับพอร์ตตามสถานการณ์

นักลงทุนหลายคน  โดยเฉพาะที่เคยผ่านยุคที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนสูง ๆ  มาแล้ว  อาจจะรู้สึกว่าผลตอบแทน 5% ต่อปีนั้น  ต่ำเกินไป  อาจจะไม่คุ้มค่าที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นที่  “เสี่ยงมาก”  เช่นเดียวกัน  ประสบการณ์ของการลงทุนใน “หุ้นปันผล” ก็อาจจะเลวร้าย  ได้ปันผลมากถึง 10% แค่ปีเดียวแต่ราคาตกลงไป 20-30% และหลังจากนั้นปันผลก็หายไป  จึงไม่อยากและไม่สนใจที่จะเล่นหุ้นปันผล

แต่นั่นอาจจะเป็นการผิดพลาดจากการกำหนดตัว “หุ้นปันผล” ที่มักจะมองแค่ “ปันผลปีล่าสุด” แต่ไม่ได้ดูอดีตย้อนหลังไป 4-5 ปี ว่าปันผลที่จ่ายนั้นมั่นคงแน่นอนแค่ไหน  คิดเป็นปันผลต่อหุ้น  เช่น  1 บาท 1.2 บาท 1.3 บาท 1.4 บาท ย้อนหลังไป 4 ปี   ส่วนข้อมูลผลตอบแทนเงินปันผลคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ในแต่ละปีนั้น  ก็เป็นข้อมูลประกอบที่ทำให้ดูง่ายว่าจ่ายกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับราคาหุ้นในปีนั้น ๆ  แต่อาจจะทำให้เข้าใจผิดได้  เพราะราคาหุ้นอาจจะตกลงมาเรื่อย ๆ  ทำให้ผลตอบแทนเงินปันผลคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นทั้ง ๆ ที่จ่ายปันผลลดลงเรื่อย ๆ 

ว่าที่จริง แทบทุกครั้งที่มีบทวิเคราะห์ว่าหุ้นตัวไหนเป็น “หุ้นปันผลสูง” ที่น่าซื้อ  ผมแทบจะไม่สนใจเลย  เพราะหุ้นเหล่านั้นมักจะปันผลสูงผิดปกติแค่ปีนั้นและอาจจะบางปี   ปีอื่น ๆ  ปันผลมักจะน้อยและไม่แน่นอน  บางทีก็อาจจะไม่จ่ายปันผลด้วยซ้ำ  เพราะบริษัทมักอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงหรือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่ควบคุมผลประกอบการยาก  ดังนั้น  ถ้าคิดจะเล่นหุ้นปันผล  จะต้องวิเคราะห์เอง  หรือต้องถามนักวิเคราะห์ที่มีความสามารถจริง  อย่าดูแค่ตัวเลขที่มีคนนำเสนอว่าเป็นหุ้นปันผล

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บริษัทที่จะเป็นหุ้นปันผลได้นั้น  มักจะต้องเป็นบริษัทที่แข็งแกร่ง  มั่นคง  อยู่มานาน  มีขนาดใหญ่พอสมควร  มีผู้บริหารที่ดีและดูแลผู้ถือหุ้น  อย่างน้อยโดยการจ่ายปันผลที่เหมาะสม  หุ้นเหล่านี้บางทีราคาหุ้นก็ไม่ค่อยไปไหน  เพราะธุรกิจอาจจะไม่ค่อยโต และนักเก็งกำไรในตลาดหุ้นก็ไม่สนใจ  เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างประเทศ  ที่มองแต่หุ้นเติบโตและก็เห็นว่ามีตลาดหุ้นอื่นที่สามารถค้นหาและลงทุนได้  แต่สำหรับนักลงทุนไทยแล้ว  นาทีนี้เราจะหาหุ้นเติบโตในตลาดหุ้นไทยที่ไหนหรือในอุตสาหกรรมไหน?

สำหรับ VI พันธุ์แท้แล้ว  ในช่วงเวลาที่มืดมนนี้ ไม่มีหุ้นกลุ่มไหนที่จะปลอดภัยและให้ผลตอบแทนที่ดีเท่ากับหุ้นที่ยังสามารถจ่ายปันผลอย่างน้อยเท่าเดิมได้ในระยะยาวอย่างน้อยอีก 5 ปี ข้างหน้า

VI