Talk of The Town

เทียบฟอร์ม 3 หุ้นแบงก์ตัวตึง จับตาปี 68 ใครปันผลสุดปัง


24 ธันวาคม 2568

หุ้นกลุ่มธนาคารยังคงถูกจับตาในฐานะ “หุ้นปันผล” ที่นักลงทุนไม่อาจมองข้าม โดยเฉพาะในปี 2568 ที่หลายสำนักวิจัยประเมินว่า แบงก์ขนาดใหญ่ยังรักษาความสามารถในการทำกำไรและจ่ายเงินปันผลได้ในระดับน่าสนใจ บทความนี้จึงพาไปเทียบฟอร์ม 3 หุ้นแบงก์ตัวตึงอย่าง SCB, KBANK และ TISCO ว่าใครเด่น และขึ้นแท่น “ปันผลสุดปัง”

3-หุ้นแบงก์ตัวตึง_info-ปก_0.jpg

เริ่มที่ SCB นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 155 บาท เพราะ ธนาคารบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี มีปันผลเด่น dividend yield สูงอันดับต้นในกลุ่มธนาคารที่ 9% ต่อปี โดยคาดครึ่งหลังปี 68 คาดจ่ายเงินปันผลที่ 9.23 บาท/หุ้น

ทั้งนี้คาด SCB รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/68 ที่ 1.09 หมื่นล้านบาท ลดลง 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  และลดลง 10% จากไตรมาสก่อน เพราะ รายได้ดอกเบี้ย (NII) ลดลง 12%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  และ ลดลง 3% จากไตรมาสก่อน จากการลดลงของดอกเบี้ยนโยบายในช่วงเดือนสิงหาคม 68

อีกทั้งรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ลดลง 4%จากไตรมาสก่อน จากการลดลงของเงินลงทุน (FVTPL) รวมทั้ง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) เพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน จากค่าใช้จ่ายทางการตลาด และค่าใช้จ่ายพนักงาน สำหรับสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 0.3% จากไตรมาสก่อน ด้านคุณภาพสินทรัพย์ NPL Ratio คาดที่ 3.40% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/68 ที่ 3.30% จากความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ส่วน KBANK นักวิเคราะห์ค่ายเดียวกัน แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายที่ 205 บาท เพราะ รักษาระดับเงินปันผลต่อปี dividend yield ที่ราว 6% ได้ สำหรับครึ่งหลังปี 68 คาดจ่ายปันผลที่ 10 บาท/หุ้น และบริหารคุณภาพสินทรัพย์ได้ดี ทั้งค่าใช้จ่ายสำรอง (credit cost) และ NPL

ขณะที่คาด KBANK รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/68 ที่ 1.10 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะ รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จาก Bancassurance และ Wealth management อีกทั้งค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ลดลง 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากช่วงปี 2567 เร่งจัดการคุณภาพสินทรัพย์

ขณะที่กำไรไตรมาส 4/68 ลดลง 15% จากไตรมาสก่อน เพราะ รายได้ดอกเบี้ย (NII) ลดลง 3% จากไตรมาสก่อน จากการลดลงของ yield on loan ตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลงในช่วงเดือนสิงหาคม 2568 และ portfolio mixed รวมทั้ง รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ลดลง 4% จากไตรมาสก่อน จากเงินลงทุน (FVTPL)

รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน จากค่าใช้จ่ายพนักงาน และค่าใช้จ่ายทางการตลาด สำหรับสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อน ด้าน NPL Ratio ที่3.25% เพิ่มจากไตรมาส 3/68 ที่ 3.19% จากความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

และ TISCO นักวิเคราะห์ค่ายดังกล่าว แนะนำ “ถือ” และคงราคาเป้าหมาย 105 บาท คงมอง TISCO เป็นหุ้นปันผล โดยมีปันผลเด่น dividend yield สูงสุงเป็นอันดับต้นของกลุ่มธนาคารทั้งปีคาดที่ 7% สำหรับเงินปันผลครึ่งหลังปี 68 คาดที่ 5.75 บาท/หุ้น คิดเป็น dividend yield ที่ 5%

โดยคาด TISCO รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/68 ที่ 1.68 พันล้านบาท ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 3%จากไตรมาสก่อน เพราะ รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย (Non-NII) ลดลง -16% จากไตรมาสก่อน จากการลดลงของเงินลงทุน (FVTPL) จากไตรมาส 3/68 มีการรับรู้หุ้น THAI รวมทั้ง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) เพิ่มขึ้น 2%จากไตรมาสก่อน จากค่าใช้จ่ายพนักงาน

อีกทั้งค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) เพิ่มขึ้น +72%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการปรับเพิ่มไปสู่ระดับปกติ ความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการตั้งสำรองพิเศษเพิ่ม ภาพรวมธุรกิจ สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้น 1.2% จากไตรมาสก่อน  จากสินเชื่อ SME และรายย่อย รวมทั้ง NIM ที่ 4.92% เพิ่มจากไตรมาส 3/68 ที่ 4.88% จากการ repricing fixed deposit และ) NPL Ratio อยู่ที่ 2.35% ใกล้กับไตรมาส 3/68 ที่ 2.31%


3-หุ้นแบงก์ตัวตึง_info_0.jpg