Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม 19-12-25 (ปตท.อนุมติงบลงทุน 5 ปี 76,572 ลบ.)
Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม 19-12-25 (ปตท.อนุมติงบลงทุน 5 ปี 76,572 ลบ.)
19-12-25 สวัสดี “ปีงูไฟ" ค่ะพี่น้องชาวไทยที่รัก "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยมีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ
***สวัสดีวันศุกร์..ขอให้ปลอดทุกข์ และมีแต่ความสุขนะคะแฟนคลับที่รัก
***เริ่มเรื่องวันนี้ที่หุ้น JKN ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดให้มีการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ของ JKN เป็นระยะเวลา 7 วันทำการ ระหว่างวันที่ 18 - 26 ธันวาคม 2568 โดยผู้ลงทุนต้องซื้อด้วยบัญชี Cash Balance และจะดำเนินการเพิกถอนหลักทรัพย์ของ JKNจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน มีผลตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2568 เป็นต้นไป (วันสุดท้ายของการซื้อขายหลักทรัพย์ คือวันที่ 26 ธ.ค. 2568)
***ก่อนหน้านี้ SET ได้ออกข่าวเตือน (alert) ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนทั่วไปที่จะเข้ามาเล่น JKN ว่าเนื่องจากมีข้อมูลสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุนหรือตัดสินใจใช้สิทธิใช้เสียงในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัท ดังนั้น ขอให้ผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนใช้ความระมัดระวังในการซื้อขายหลักทรัพย์ เนื่องจากงบการเงินประจำปี 2566 และแบบ 56-1 One Report ที่บริษัทได้เผยแพร่ผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังเป็นข้อมูลเท็จ และยังมิได้นำส่งงบการเงินฉบับดังกล่าวที่สำนักงานก.ล.ต.("สำนักงาน ก.ล.ต.") สั่งแก้ไข และงบการเงินปี 2567 จนถึงปัจจุบัน
***ส่วนความเคลื่อนไหวของหุ้นเมื่อวานนี้ ราคาสูงสุดอยู่ที่ 0.05 และปิดตลาดที่ 0.01 บาท และเป็นราคาต่ำสุดของวันด้วย โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวม 11.281 ล้านบาท
***ปตท. หรือหุ้น PTT แจ้งเมื่อคืนว่าบอร์ดบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติงบลงทุน 5 ปี (ปี 2569 - 2573) ของ ปตท. และบริษัทที่ ปตท.ถือหุ้นร้อยละ 100 วงเงินรวม 76,572 ล้านบาท
***งบลงทุนของ ปตท. สอดคล้องกับภารกิจสําคัญในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ และทิศทางกลยุทธ์ที่มุ่งเสริมสร้างความแข็งแรงและศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจหลัก โดยเงินลงทุนในธุรกิจปิโตรเลียมขั้นต้น ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศและธุรกิจปิ โตรเลียมขั้นปลาย คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 59 ของงบลงทุน 5 ปี โดยมีโครงการ อาทิ การลงทุนและการปรับปรุงประสิทธิภาพและขีดความสามารถของระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติ โรงแยกก๊าซธรรมชาติ และการลงทุนในการขยายธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศอย่างครบวงจร
***ขณะเดียวกัน ปตท. ยังมีการลงทุนผ่านบริษัทที่ ปตท. ถือหุ้นร้อยละ 100 อาทิ การลงทุนเพื่อสนับสนุนการดําเนินกลยุทธ์ Asset Monetization (A1) ที่มุ่งเน้นการบริหารสินทรัพย์ด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ โดยให้ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จํากัด (PTT Tank) เป็น Infrastructure Flagship เพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทในกลุ่ม รวมถึงการลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 เพื่อเสริมศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานของประเทศในระยะยาว
***นอกจากงบลงทุนข้างต้นแล้ว ปตท. ยังได้วางแผนเตรียมงบลงทุนสําหรับโครงการที่อยู่ระหว่างการศึกษาและแสวงหาโอกาสการลงทุนในอนาคต (Provision and Plan Capital Expenditure) ในระยะเวลา 5 ปี ข้างหน้า รวมวงเงินประมาณ 115,166 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการขยายการลงทุนในช่วงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน อาทิ การขยายการลงทุนในธุรกิจปิ โตรเลียมขั้นต้น โดยเฉพาะการพัฒนาธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลวอย่างครบวงจร (LNG Value Chain) ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของกลุ่ม ปตท.
***ขยายความต่อเนื่องจากการลดดอกเบี้ยนโยบายลงเมื่อวันก่อน!!! มีข้อมูลจากกูรูหุ้นมาโฟกัสให้เห็นภาพชัดๆ โดยมองว่าเรื่องดังกล่าว เป็นกลางต่อกลุ่มธนาคาร เพราะเป็นไปตามที่ตลาดคาด แต่อย่างไรก็ดี รายได้ดอกเบี้ยจะมีโอกาสลดลงทันที โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ เรียงผลกระทบจากมาก-น้อย คือ BBL, KTB, KBANK และ SCB ซึ่งได้รวบรวมผลกระทบจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ที่ 1.00% ในประมาณการกำไรปีหน้าไว้แล้ว ทั้งนี้ได้ให้น้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” โดยเลือก KTB และ SCB เป็น Top pick
***สำหรับกลุ่มที่ได้ประโยชน์หลักๆ ได้แก่ กลุ่มการเงิน, กลุ่มที่อยู่อาศัย, กลุ่มโรงไฟฟ้า และหุ้นที่มีหนี้สูง โดยภาพรวมการปรับลดดอกเบี้ยจะเป็นบวกต่อบริษัทส่วนใหญ่ใน SET เนื่องจากทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยงลดลง โดยประเมิน 4 หุ้นพื้นฐานดี ที่ราคาหุ้นยัง laggard และมีโอกาส outperform SET ได้แก่
- MTC ได้ประโยชน์จากต้นทุนดอกเบี้ยกู้ยืมลดลง ขณะที่ราคาหุ้นยัง laggard กลุ่ม
- BGRIM ภาระดอกเบี้ยลดลงและแรงกดดันจากผลตอบแทนโครงการใหม่ในอนาคตลดลง
- SPALI มี backlog และโครงการพร้อมขายสูง แนวโน้มกำไรไตรมาส 4 ปีนี้จะฟื้นตัว และปีหน้าคาดว่าจะกลับมาเติบโตดี
- AURA มีโอกาสขยายพอร์ตลูกหนี้ขายฝากด้วยต้นทุนเงินกู้ที่ลดลง แนวโน้มกำไรไตรมาส 4 ปีนี้จะเติบโตดี YoY, QoQ จากราคาทองที่เพิ่มขึ้นมาก
***ความเห็นจากกูรูหุ้น สำหรับ Sector/Stock ที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว ได้แก่
( + ) กลุ่มการเงิน: จากต้นทุนส่วนใหญ่เป็นดอกเบี้ยกู้ยืม ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินปรับตัวลดลง โดยหุ้นที่ชอบ คือ MTC, SAWAD, TIDLOR
( + ) กลุ่มที่อยู่อาศัย: จะทำให้ต้นทุนผู้ซื้อลดลงส่งผลบวกต่อกำลังซื้อที่ดีขึ้น, rejection rate มีโอกาสลดลง รวมถึงต้นทุนดอกเบี้ยของผู้ประกอบการลดลง โดยบริษัทที่จะได้ประโยชน์มากสุดจากมี Backlog, โครงการพร้อมขาย รวมถึงอาจมี D/E ratio ที่สูง ได้แก่ SPALI ,SIRI และ ORI
( + ) กลุ่มโรงไฟฟ้า: จากภาระทางการเงินลดลงและแรงกดดันจากผลตอบแทนโครงการในอนาคตที่น้อยลง หุ้นที่ชอบคือ BGRIM, GPSC