Gossip Station..by เจ๊จิ๋ม

Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม 18-09-25 (EA-BYD-NEX วิ่งยกแผง!!!)


18 กันยายน 2568

Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม  18-09-25 (EA-BYD-NEX วิ่งยกแผง!!!)

 

18-09-25 สวัสดี “ปีงูไฟ" ค่ะพี่น้องชาวไทยที่รัก "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยมีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ 

***เมื่อวานกลุ่มของ EA วิ่งกันยกแผง..โดยเฉพาะ BYD ถึงขึ้นซิลลิ่งกันเลยทีเดียว ปิดที่ 0.62 บาท เพิ่มขึ้น +0.15  บาท หรือ 31.91%  ตามมาด้วย NEX  ปิดที่ 1.45 บาท เพิ่มขึ้น +0.19 บาท หรือ  15.08% และแม่ของทุกคน EA ปิดที่ 3.68 บาท เพิ่มขึ้น +0.62 บาท หรือ 20.26% ด้วยมูลค่าซื้อขายจุกๆ  3,016 ล้านบาท มากที่สุดเป็นอันดับสองของการซื้อขายทั้งตลาดเมื่อวานนี้

***ประเด็นหลักเจ๊เคยบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ (เมื่อวันอังคารที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา)เป็นเรื่องของ ขสมก.เตรียมจะเปิด TOR รถเมย์ปรับอากาศ EV จำนวน 1,520 คัน ในวันที่ 18 ก.ย.นี้ และจะจัดหาเพิ่มอีก 1,500 คันรูปแบบ PPP  แบบนี้ถือว่ามีลุ้นมากๆๆๆๆ ถ้าได้มาจริง หุ้นแม่และลูก EA และ NEX  ได้ควงแขนกันวิ่งระเบิดระเบ้อเลย..ที่บึ้มมมมมมากกว่าใครก้อต้องยกให้ BYD เค้าล่ะ..ได้มาจริงละก้อ!!!รับไปได้เลยแบบเต็มๆ คร๊าบบบบบบ

***มาว่ากันที่เรื่องดอกเบี้ยแบบเป็นชิ้นเป็นอันกันดีกว่าค่ะ มีกูรูหุ้นจากค่าย DBS ออกรายงานให้ได้รู้กันชัดๆ ว่า  “ใครได้ ใครเสีย ในทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาลง”

***อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยลดมาแล้ว 4 ครั้งในช่วงปี 2024 ถึง 2025-YTD และมีแนวโน้มจะลดลงอีก โดยลดจาก 2.50% มาเป็น 1.50% ในปัจจุบัน และมีแนวโน้มว่าจะลดลงอีก ทาง DBS Group Research คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยจะลดอีก 0.25% เป็น 1.25% ในช่วงที่เหลือของปี 2025 (ซึ่ง กนง.เหลือประชุมอีก 2 ครั้ง คือ 8 ต.ค.2025 และ 17 ธ.ค.2025) และลดอีก 0.25% เป็น 1.00% ในครึ่งแรกของปี 2026

 วันที่                               ลดจาก ลดเป็น จำนวนที่ลด

16 ต.ค.2024                   2.50%         2.25%         0.25%

26 ก.พ.2025                  2.25%         2.00%         0.25%

30 เม.ย.2025                  2.00%         1.75%         0.25%

13 ส.ค.2025                  1.75%         1.50%         0.25%

 

***ตลาดหุ้นมักตอบรับในทางบวกเมื่ออัตราดอกเบี้ยอยู่ในทิศทางขาลง ทั้งนี้เป็นผลจาก 4 ปัจจัยหลัก ดังนี้

1) ต้นทุนทางการเงินบริษัทจดทะเบียนลดลง กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น

2) รายได้มีโอกาสปรับขึ้น เพราะก าลังซื้อเพิ่มขึ้นหลังจากผู้บริโภคจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง บรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยดีขึ้น

3) นักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในตลาดหุ้น หลังอัตราผลตอบแทนจากเงินฝาก/การถือครองตราสารหนี้ลดลง

4) Valuation ของหุ้นที่ประเมินด้วยวิธี DCF เพิ่มขึ้น หลังจาก Discount Rate ลดลง

***กลุ่มที่ได้ประโยชน์

1. ภาคธุรกิจที่มีหนี้สูง/มีแผนงานที่จะกู้เงินมาลงทุนจ านวนมาก – ภาระดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ (Project Finance), ก่อสร้าง, สาธารณูปโภค (Utilities), โรงไฟฟ้า, ขนส่ง, โรงแรม จะลดลงตามอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำลง หุ้นที่จะได้ประโยชน์มาก (มีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนสูงกว่า 1 เท่า) ใน DBSVTH Coverage ได้แก่ BJC,CRC, CK, BCP, BGRIM, GPSC, PTG, CPF, IVL, LH, ORI, SIRI, ERW, BEM, BTS, TRUE, CPNREIT, WHAIR เป็นต้น

***2. ผู้ซื้อที่พักอาศัย รถยนต์ รถจักรยานยนต์ / ผู้กู้สินเชื่อบัตรเครดิต / ผู้กู้สินเชื่อส่วนบุคคล – จะมีภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง

***3. กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ / ไฟแนนซ์ - กลุ่มที่พักอาศัยมีแนวโน้มจะมียอดขายที่ดีขึ้น (ในยามเศรษฐกิจปกติ แต่ในปัจจุบันอาจจะช่วยได้ไม่มาก) ส่วนธนาคารขนาดเล็ก (KKP, TISCO) ที่เน้นปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อจำนำ มีโอกาสปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น และต้นทุนการเงินลดลง ขณะที่บริษัทไฟแนนซ์ (AEONTS, MTC, SAWAD,TIDLOR) มีแนวโน้มจะปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น และต้นทุนทางการเงินลดลงในระยะกลาง-ยาว

***4. ธุรกิจที่อิงกับกำลังซื้อในประเทศ เช่น ค้าปลีก, ร้านอาหาร, ท่องเที่ยว, สินค้าอุปโภคบริโภค - อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงหนุน Sentiment ในการจับจ่ายใช้สอย และอุปโภคบริโภค หุ้นที่ได้อานิสงค์ ได้แก่ BJC, CPALL,CPAXT, COM7, ERW, CENTEL, CBG, OSP เป็นต้น

***5. ตลาดทุน/หุ้นปันผลสูง - ดอกเบี้ยต่ำทำให้ผลตอบแทนจากเงินฝากและพันธบัตรลด → นักลงทุนโยกเงินเข้าตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นปันผลสูง กลุ่ม REIT&IFF หุ้นเด่นเป็น SCB, TISCO, TTB, AP, SPALI, PTTEP, PTT,ADVANC, MC, DIF, WHAIR, FTREIT, IMPACT เป็นต้น

***6. ผู้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว - จะมี Gain จากการ Mark-to-Market

***7. รัฐบาล - การออกพันธบัตรกู้เงินมีต้นทุนดอกเบี้ยลดลง → ภาระงบประมาณน้อยลง

***กลุ่มที่เสียประโยชน์

1. ธนาคารพาณิชย์ใหญ่ – จะมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (NIM) ลดลง จากมีสัดส่วนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยลอยตัวสูงและเงินฝากส่วนใหญ่เป็นเงินฝากประจำ แต่บางส่วนจะได้รับการชดเชยจากการปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ธนาคารที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ BBL, KBANK, KTB, SCB

***2. ผู้ฝากเงิน – จะมีรายได้ดอกเบี้ยน้อยลง ก็จะระวังการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่เกษียณอายุไปแล้วและมีรายได้หลักจากดอกเบี้ยรับ

***3. ผู้ลงทุนในพันธบัตร/ตราสารหนี้ระยะสั้น – จะได้รับผลตอบแทนต่ำลง

***4. บริษัทประกันชีวิต - ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตร/ตราสารหนี้ลดลง ขณะที่มีการการันตีผลตอบแทนไว้แล้วในตอนขายประกัน จึงอาจต้อง “แบกรับภาระส่วนต่าง” นอกจากนั้นเมื่อ Discount rate ลดลงตามอัตราดอกเบี้ยในตลาด มูลค่าหนี้ตามสัญญาจะสูงขึ้น ส่งผลให้ต้องตั้งสำรองฯเพิ่มขึ้น

***กูรูให้คำแนะนำการลงทุนว่าแม้วอัตราดอกเบี้ยขาลงทำให้เกิดผลบวก/ผลลบกับหลายกลุ่มและหลายหุ้น แต่การพิจารณาเลือกหุ้นที่จะลงทุนควรพิจารณาหลากหลายปัจจัยที่มีผลกระทบต่อหุ้นอย่างรอบด้าน ทั้งปัจจัยเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ (เช่น ESG Ratings, CG Report) เราไม่ควรใช้ธีมอัตราดอกเบี้ยอย่างเดียวมาตัดสินใจเลือกหุ้นที่จะลงทุน