ท่ามกลางสมรภูมิสงครามการค้าที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้บอกได้เลยว่าเป็นการสร้างความท้าทายให้กับเศรษฐกิจทั่วโลก และรวมไปถึงเศรษฐกิจของไทย ที่จะทำอย่างไร เพื่อให้เป็นผู้อยู่รอดในศึกสงครามการค้าในครั้งนี้
อย่างที่รู้กันดีว่ารัฐบาลหลายประเทศกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อให้เป็นผู้ที่อยู่รอดในศึกนี้ รวมไปถึงรัฐบาลไทย และนอกเหนือจากทางฟากฝั่งรัฐบาลแล้วภาคเอกชนหลายแห่งต่างเร่งกันปรับตัว
โดยรวมไปถึงกลุ่มผู้ส่งออกอาหาร และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทยที่จะต้องวางกลยุทธ์ จุดยุทธศาสตร์การค้าครั้งใหม่ เพื่อหาโอกาส และช่องทางให้เป็นผู้อยู่รอด
ไม่เพียงแต่ผู้ส่งออกเพียงเท่านั้น แต่หนึ่งในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้ส่งออกอย่างธุรกิจการให้บริการโลจิสติกส์ ก็จะต้องหากลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจไม่ให้หยุดนิ่ง และไม่ให้ผลกระทบจากสงครามการค้ามาทำลายธุรกิจได้
ตัวอย่างเช่น บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPJ ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร ทั้งการขนส่งทางบกต่อเนื่องกับท่าเรือ การบริหารลานตู้คอนเทนเนอร์ การจัดการขนส่งระหว่างประเทศ (Freight Forwarder) และบริการคลังสินค้า
ทั้งนี้ ธุรกิจของ MPJ เป็นหนึ่งใน Supply Chian ที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมการค้าระหว่างประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการนำเข้า หรือการส่งออก โดย MPJ ได้วางกลยุทธ์เพื่อรับมือกับสงครามการค้านี้ไว้อย่างไร ปัญหาที่เจอจะเป็นวิกฤต หรือโอกาส เราจะพาไปหาคำตอบ
โดยคุณจีระศักดิ์ มานะตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MPJ ระบุว่า เหตุการณ์ความขัดแย้งทางการค้าของสหรัฐฯและจีน ทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ในด้านห่วงโซ่อุปทานโลกมีการปรับเปลี่ยนทั้งต้นทุน การขนส่ง และเส้นทางใหม่
ดังนั้นเองจึงส่งผลให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแนวโน้มที่จะได้รับโอกาสเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งใหม่ จากการนำเทคโนโลยีสร้างความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน ซึ่งถือว่าเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่เข้ามาช่วยรับมือ TRADE WAR และสร้างการเติบโตในอนาคต
ขณะเดียวคุณจีระศักดิ์ มองว่า สงครามการค้าในครั้งนี้ถือเป็นทั้งวิกฤต และเป็นโอกาส โดยวิกฤตก็คือนโยบายสงครามการค้ากระทบกับลูกค้าของบริษัท แต่อย่างไรก็ตามบริษัทได้มีการเข้าไปเจราจากับลูกค้าเพื่อหาทางแก้ไขปัญหา ในขณะเดียวกันมองว่าถือเป็นโอกาสที่สำคัญในเรื่องการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ในช่วงไตรมาสที่เหลือหลังจากนี้ มองว่าอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง สอดคล้องกับข้อมูลการส่งเสริมจากสำนักงาน BOI ที่ได้เปิดเผยข้อมูลตัวเลขยอดการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2567 สูงถึง 1.13 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี
โดยอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน เช่น อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหารอุตสาหกรรม ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์
ดังนั้นจึงส่งผลเชิงบวกต่อ MPJ ในการขยายการให้บริการและเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจหลักให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทฯ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของรายได้รวมในปี 2568 เพิ่มขึ้น 20%
นอกจากนี้ สิ่งที่ MPJ ประกาศเดินหน้าขับเคลื่อน 4 กลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับดีมานด์กลุ่มลูกค้าที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น
1.ธุรกิจบริหารการจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์
ได้รับการอนุมัติขยายพื้นที่ลานตู้คอนเทนเนอร์ในพื้นที่แหลมฉบัง และดำเนินการทำเรื่องเพื่อขอกู้ยืมเงินสำหรับการลงทุนจากสถาบันการเงินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ในเดือนมิถุนายนนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในไตรมาส 3/2568
ส่งผลให้ MPJ มีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ในการรองรับการใช้งานทั้งในส่วนของลูกค้าใหม่ และเก่าเพิ่มขึ้นอีก 100,000 TEU หรือคิดเป็น 50% ของความจุรวมของโครงการนี้ 200,000 TEU
ส่วนการขยายพื้นที่ลานตู้คอนเทนเนอร์โปรเจคที่ 2 ซึ่งเป็นโปรเจคร่วมทุน เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้วในไตรมาส 2/2568 เพื่อให้ทันตามแผนที่จะเปิดดำเนินการภายในไตรมาส 4/2568 ส่งผลให้ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์รองรับการใช้งานลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก 120,000 TEU หรือ 60% ของความจุรวมของโครงการนี้ 200,000 TEU
2.ธุรกิจให้บริการขนส่งทางบกต่อเนื่องกับท่าเรือ
ปัจจุบันมีการขยายเครือข่ายการขนส่งภายในประเทศ (Domestic Transportation) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงหาลูกค้าในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ทั้งนี้ได้มีการ Test run ในส่วนขยายเครือข่ายการขนส่งภายในประเทศไปแล้ว และคาดว่าไตรมาส 3/2568 จะเริ่มให้บริการแบบครบวงจร ปัจจุบันมีรถบรรทุกที่ให้บริการทั้งหมด 215 คัน และยังมีรถบรรทุกพันธมิตรเป็นผู้รับจ้างงานช่วง (Sub-Contract Trucks) อีกประมาณ 50-60 คัน
อีกทั้งมีแผนการนำรถบรรทุก EV จากกลุ่มพันธมิตรเข้ามาใช้งานในปีนี้ 120 คัน จากปัจจุบัน 30 คัน จากปัจจัยดังกล่าว บริษัทฯ จึงเล็งเห็นโอกาสในการขยายการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะในประเทศกลุ่ม CLMV ล่าสุดได้มีการขยายเส้นทางการขนส่งสินค้าไปยัง สปป.ลาว และกัมพูชา
3.ธุรกิจให้บริการจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
ยังคงเป้าหมายเดิมในการขยายส่วนแบ่งตลาดในภูมิภาคใหม่ๆ โดยเฉพาะตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ควบคู่กับการขยายตลาดในโซนเอเชีย รวมทั้งการศึกษาการขยายการให้บริการขนส่งสินค้าทางอากาศเพิ่มทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
4.ธุรกิจให้บริการให้เช่าคลังสินค้า
ล่าสุดบริษัทฯ เตรียมแผนลงทุนก่อสร้างคลังสินค้าแห่งใหม่ในจังหวัดระยอง เฟส 2 ซึ่งมีพื้นที่ 18,000 ตรม. เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น โดยคลังสินค้าแห่งใหม่นี้จะเริ่มก่อสร้างในไตรมาส 3/2568 และคาดว่าจะแล้วเสร็จ พร้อมรับรู้รายได้ในปี 2569
พร้อมกันนี้ยังศึกษาแผนการ ให้บริการ Service Warehouse เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ากลุ่ม Warehouse ที่เช่าคลังสินค้าของ MPJ หรือกลุ่มลูกค้าที่เช่าคลังสินค้าที่อื่น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า อีคอมเมิร์ซ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าดังกล่าวให้ความสนใจเช่าคลังสินค้าที่มีขนาด 7,000 ตรม. โดยเน้นทำเลใกล้กรุงเทพฯ ส่งผลให้บริษัทได้สำรวจพื้นที่เบื้องต้นไว้ 2 โซน คือ โซนเทพารักษ์ และโซนบางนา คาดว่าจะเริ่มให้บริการภายในปีนี้
สรุปใจความสำคัญได้ว่า MPJ หนึ่งในผู้ให้บริการโลจิสติกส์วางแผนปรับกลยุทธ์เพื่อให้เป็นผู้อยู่รอดท่ามกลางสงครามการค้า ด้วยการขยายตลาดไปยังกลุ่มภูมิภาคใหม่ และขยายเครือข่ายโลจิสติกส์ รวมไปถึงเล็งเพิ่มสัดส่วนลูกค้าใหม่ให้มากขึ้น
ยอดนิยม
%20copy_0.jpg)
ประมูลคลื่นไร้การแข่งขัน? ADVANC- TRUE รับเละ! ต้นทุนลด ผลประโยชน์เต็มมือ เพิ่มกำไรยาว 15 ปี
_0.jpg)
วันนี้ DELTA อาจเจอแรงขาย รับเกณฑ์ Capped Weight มีผลพรุ่งนี้! โบรกฯชี้ 4 หุ้นใหญ่ส้มหล่นรับเงินไหลเข้า
%20copy_0.jpg)
การเมืองทุบหุ้นไทยต่อ ก.ค.ชี้ชะตา จุดกลับตัว หรือจุดจบ ถ้าผ่านได้ อาจเห็น SET ฟื้นแรง!
_0.jpg)
ทองผันผวน! หลุด 3,300 ดอลลาร์สหรัฐ “ทรัมป์” ส่งสัญญาณยืดดีลภาษี 90 วัน กรอบ 47,000–50,000 บาท เป็นโอกาสสะสม
_0.jpg)