จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : WFX บุกตลาดเอเชีย ดันมาร์จิ้น หนุนรายได้ปี 66โต 5-10 %


23 มกราคม 2566
บริษัท เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX)  รุกขยายตลาดในเอเชีย  ทั้งอินเดียและจีน  เพิ่มกลุ่มลูกค้า  สร้างความยั่งยืนในระยะยาว  หวังดันมาร์จิ้นพุ่ง  หนุนรายได้ปี 66  โด 5-10% 

รายงานพิเศษ WFX.jpg

การระบาดของโควิด 19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ  ปัจจัยหลักที่กดดันให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง แต่มีการคาดการณ์ว่า อินเดียจะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตดีที่สุดในบรรดาประเทศชั้นนำ โดยธนาคารโลกคาดว่าปี 2566  เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโต 6.6% ขณะที่สหรัฐฯ จะโตแค่ 0.6% และจีนขยายตัว 4.3%

ซึ่งประเทศอินเดีย เริ่มเปิดเสรีทางเศรษฐกิจและเปิดตลาดภายในประเทศมากขึ้นตั้งแต่ปี 2534 ส่งผลให้เศรษฐกิจอินเดียพัฒนาขึ้น และสามารถยกระดับขึ้นเป็นประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในเกณฑ์สูง ปัจจุบัน อินเดียมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 9 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย รองจากจีน ญี่ปุ่น โดย World Bank ยังคาดการณ์อินเดียจะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ในปี 2563  

ด้านสถานการณ์การค้า อินเดียให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งภายในประเทศมากขึ้น โดยปี 2564 ตั้งเป้ายกระดับภาคอุตสาหกรรม เน้นดึงดูดการลงทุนควบคู่กับการเปิดตลาดการค้าบริการ

ส่วนด้านการลงทุน  บริษัทอินเดียที่มาลงทุนในไทย ได้แก่ กลุ่ม Indo Rama, Aditya  Birla, GP, Polyplex และ Tata  ขณะเดียวกันบริษัทไทยที่เข้าไปลงทุนในอินเดีย ได้แก่ ซีพี,อิตาเลียนไทย,ศรีไทย ซุปเปอร์แวร์, ไทยซัมมิท, เดลต้า, แอลเอ ไบซิเคิ้ล, ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสทรี้, แพรนด้า, ร้อกเวิธ, เอสซีจี เทรดดิ้ง, ดัชมิลล์, ยูเรก้า ดีไซน์, แอ็ลไลด์ เม็ททัลส์และไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป เป็นต้น

สำหรับเศรษฐกิจจีนนักวิจัยจากสถาบันพัฒนาเศรษฐกิจแห่งองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร)  มีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจจีนในปี 2566  โดยคาดว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนมีโอกาสเติบโตมากกว่า 5%

โดยอุตสาหกรรมของจีนที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง  ได้แก่ เศรษฐกิจดิจิทัล  คิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของ GDP จีน และสัดส่วนดังกล่าวกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เศรษฐกิจอินเดียและจีนที่เติบโตสวนทางกับเศรษฐกิจโลก  สนับสนุนการขยายตลาดของบริษัท  เวิลด์เฟล็กซ์ (WFX)  ซึ่งผู้บริหาร “ณัฐ วงศาสุทธิกุล”  กรรมการผู้จัดการ ให้ภาพแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566  บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-10%   แม้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 2566 มีทิศทางชะลอตัวจากแรงกดดันของภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้น  แต่บริษัทคาดว่าจะยังสามารถรักษาระดับการเติบโตได้ตามแผน   จากการรักษาฐานลูกค้าตลาดเดิม โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซีย บราซิล รัสเซีย ที่มีการเติบโตสูงและถือเป็นตลาดดาวรุ่งของบริษัทฯ 

และบริษัทยังมีแผนขยายตลาดใหม่ๆในต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งอินเดียและจีน  เพราะเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจและมีโอกาสเติบโตได้ดี โดยเน้นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง  และการร่วมออกบูธในงานแสดงสินค้าใหญ่ๆ ในต่างประเทศ  อาทิ บังคลาเทศ ซึ่งถือเป็นงานใหญ่ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้โดยตรง นอกจากนี้หลังจากที่จีนเปิดประเทศ  บริษัทมีแผนที่จะเดินสายเยี่ยมลูกค้า  เพื่อเป็นการรักษาสัมพันธ์ที่ดี  พร้อมๆ กับการขยายตลาดในภูมิภาคอื่นในประเทศจีนเพิ่มมากขึ้น
          
ที่ผ่านมาบริษัทเดินหน้าตามแผนบุกตลาดกลุ่มใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ประเทศในแถบเอเชีย ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย บังคลาเทศ, ประเทศในแถบยุโรป ได้แก่ รัสเซีย ตุรเคีย อุซเบกิสถาน, ประเทศในแถบอเมริกาใต้ ได้แก่ บราซิล เม็กซิโก โคลอมเบีย เปรู และยังมีแผนที่จะเปิดตลาดใหม่ในกลุ่ม ทวีปแอฟริกา เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 
          
สำหรับแผนการขยายกำลังการผลิตเฟส 2 คาดว่า จะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในช่วงกลางปี 2566 ซึ่งจะเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 4,000-5,000 ตันต่อปีหรือประมาณ 10-15%ของกำลังการผลิตในปัจจุบัน  ส่งผลให้กำลังการผลิตรวม เพิ่มขึ้นเป็น 48,000-49,000 ตันต่อปี
WFX