Talk of The Town
หุ้นกลุ่มแบงก์ใหญ่ เผชิญแรงเทขายไม่หยุด รับวัฎจักรดอกเบี้ยขาลง กดดัน NIM
19 กันยายน 2567
รายงานความเคลื่อนไหวราคาหุ้น 3 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ในช่วงบ่ายนี้ ประกอบไปธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ปรับตัวลดลง 0.32% ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ปรับตัวลดลง 0.32% และ บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ปรับตัวลดลง 1.33% ด้านโบรกคาดเจอแรงเทขาย กังวลวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงกระทบ NIM

โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า กลุ่มธนาคารที่ถูกขาย เพื่อลดความเสี่ยงการปรับลดดอกเบี้ยออกมาก่อน แต่มีโอกาสเห็น Buy on Facts แม้ว่าวงจรดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลงจะกระทบ NIM แต่จะถูกชดเชยด้วยการเติบโตของสินเชื่อและค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น การบริหารเงินทุน และความเสี่ยงด้านเครดิตที่ต่ำลง ผสาน ROE สูงเฉลี่ย 9% และ Valuation Discount หนุนคาดเห็นแรงซื้อกลับ เน้น KBANK, KTB, BBL
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯปรับลดนโยบายอัตราดอกเบี้ยลง เป็นตัวสะท้อนจุดเริ่มต้นของวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงอย่างเป็นทางการ และอาจส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยในระยะถัดไป (การประชุมกนง. ครั้งถัดไป วันที่ 16 ต.ค. 67 และ 18 ธ.ค. 67)
ในกรณีที่ กนง. มีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตาม ประเมินช่วยให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น ในขณะที่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลงที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก คาดการณ์หนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคแต่ละประเทศในทางอ้อมช่วงถัดไป ซึ่งทางทฤษฎีเชื่อกันว่าการส่งผ่านนโยบายการเงินจะมีผลต่อเศรษฐกิจในอีก 6 เดือนข้างหน้า
พร้อมกับองค์ประกอบรวมมองว่าช่วยลดแรงกดดันต่อภาคส่งออกไทย และหนุนต่อภาคท่องเที่ยวไทย ตามทิศทางนักท่องเที่ยวต่างชาติออกเดินทาง เป็นแรงขับเคลื่อนจีดีพีไทยปีหน้า
ส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดรอบนี้ยังไม่ได้ส่งผลต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์มากนัก ยกเว้น BBL ที่มีพอร์ตสินเชื่อสกุลเงินต่างประเทศราว 26% ของพอร์ตสินเชื่อ (สัดส่วนราว 10% ของพอร์ตสินเชื่ออยู่ในอินโดฯ ผ่าน ธนาคาร Permata ที่ BBL ถือหุ้นอยู่ราว 89%) โดยจะรับผลกระทบจากการลงดอกเบี้ยเร็วกว่ากลุ่ม
อย่างไรก็ดี BBL มีช่องทางในการบริหารจัดการเพื่อลดผลกระทบ ผ่านต้นทุนเงินฝากออมทรัพย์หลังปัจจุบันอยู่ที่ 0.45% - 0.55% ประกอบกับระดับการตั้งสำรองสูงในช่วงที่ผานมาช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถบริหารจัดการผ่าน ECL อีกทั้ง Non – NII ที่มีพัฒนาการตาม capital market (รวมถึงธนาคารอื่นๆ) เป็นปัจจัยลดแรงปะทะต่อประมาณการ
ทั้งนี้ ประมาณการกำไรกลุ่ม (8 ธนาคาร) ปี 2567 – 68 อยู่บนสมมติฐานการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย 1 ครั้ง จึงคงประมาณการเดิม
ด้าน SETBANK จากต้นปีมาถึงปัจจุบันเพิ่ม 5.5% เทียบ SET บวก 1.4% ทำให้ราคาหุ้นอัพไซด์จำกัดต่อมูลค่าเหมาะสมในปี 2567 จึงมองว่าการขายทำกำไรบางส่วนช่วงสั้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เชื่อว่าหลังอัพไซด์ต่อราคาหุ้นเริ่มเปิดในระดับ 5% - 10% หรือมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ชัดขั้น จะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นช่วงถัดไป ยังเลือก KBANK และ KTB เป็น Top pick กลุ่มฯ จากการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ทำได้ดีกว่ากลุ่มฯ

โดยนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า กลุ่มธนาคารที่ถูกขาย เพื่อลดความเสี่ยงการปรับลดดอกเบี้ยออกมาก่อน แต่มีโอกาสเห็น Buy on Facts แม้ว่าวงจรดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลงจะกระทบ NIM แต่จะถูกชดเชยด้วยการเติบโตของสินเชื่อและค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น การบริหารเงินทุน และความเสี่ยงด้านเครดิตที่ต่ำลง ผสาน ROE สูงเฉลี่ย 9% และ Valuation Discount หนุนคาดเห็นแรงซื้อกลับ เน้น KBANK, KTB, BBL
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ให้มุมมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯปรับลดนโยบายอัตราดอกเบี้ยลง เป็นตัวสะท้อนจุดเริ่มต้นของวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงอย่างเป็นทางการ และอาจส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยในระยะถัดไป (การประชุมกนง. ครั้งถัดไป วันที่ 16 ต.ค. 67 และ 18 ธ.ค. 67)
ในกรณีที่ กนง. มีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตาม ประเมินช่วยให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น ในขณะที่วัฎจักรดอกเบี้ยขาลงที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก คาดการณ์หนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคแต่ละประเทศในทางอ้อมช่วงถัดไป ซึ่งทางทฤษฎีเชื่อกันว่าการส่งผ่านนโยบายการเงินจะมีผลต่อเศรษฐกิจในอีก 6 เดือนข้างหน้า
พร้อมกับองค์ประกอบรวมมองว่าช่วยลดแรงกดดันต่อภาคส่งออกไทย และหนุนต่อภาคท่องเที่ยวไทย ตามทิศทางนักท่องเที่ยวต่างชาติออกเดินทาง เป็นแรงขับเคลื่อนจีดีพีไทยปีหน้า
ส่วนการลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดรอบนี้ยังไม่ได้ส่งผลต่อกลุ่มธนาคารพาณิชย์มากนัก ยกเว้น BBL ที่มีพอร์ตสินเชื่อสกุลเงินต่างประเทศราว 26% ของพอร์ตสินเชื่อ (สัดส่วนราว 10% ของพอร์ตสินเชื่ออยู่ในอินโดฯ ผ่าน ธนาคาร Permata ที่ BBL ถือหุ้นอยู่ราว 89%) โดยจะรับผลกระทบจากการลงดอกเบี้ยเร็วกว่ากลุ่ม
อย่างไรก็ดี BBL มีช่องทางในการบริหารจัดการเพื่อลดผลกระทบ ผ่านต้นทุนเงินฝากออมทรัพย์หลังปัจจุบันอยู่ที่ 0.45% - 0.55% ประกอบกับระดับการตั้งสำรองสูงในช่วงที่ผานมาช่วยให้ธนาคารพาณิชย์สามารถบริหารจัดการผ่าน ECL อีกทั้ง Non – NII ที่มีพัฒนาการตาม capital market (รวมถึงธนาคารอื่นๆ) เป็นปัจจัยลดแรงปะทะต่อประมาณการ
ทั้งนี้ ประมาณการกำไรกลุ่ม (8 ธนาคาร) ปี 2567 – 68 อยู่บนสมมติฐานการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทย 1 ครั้ง จึงคงประมาณการเดิม
ด้าน SETBANK จากต้นปีมาถึงปัจจุบันเพิ่ม 5.5% เทียบ SET บวก 1.4% ทำให้ราคาหุ้นอัพไซด์จำกัดต่อมูลค่าเหมาะสมในปี 2567 จึงมองว่าการขายทำกำไรบางส่วนช่วงสั้นเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เชื่อว่าหลังอัพไซด์ต่อราคาหุ้นเริ่มเปิดในระดับ 5% - 10% หรือมีสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ชัดขั้น จะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นช่วงถัดไป ยังเลือก KBANK และ KTB เป็น Top pick กลุ่มฯ จากการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ทำได้ดีกว่ากลุ่มฯ
ยอดนิยม
GULF ลั่นกรณี KBANK ซื้อหุ้นคืน จำกัดสิทธิ "ซื้อขายหุ้น" ของบริษัทไม่ได้ แม้ KBANK ร่อนหนังสือวอนห้ามจำหน่าย
“พงษ์ศักดิ์” ทุ่ม 3.5 พันลบ. เทนเดอร์ SVI หุ้นละ 7.50 บาท ก่อนเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น
“เซียนมี่” รับทรัพย์ 146 ลบ. หลัง “พงศ์ศักดิ์” ทำเทรนเดอร์ หุ้น SVI ที่ราคา 7.50 บาท
โบรกฯ คาด IRPC พลิกมีกำไร ครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส หลังสต๊อกน้ำมันเป็นบวก-GIM พุ่ง