Talk of The Town
จำลองเหตุการณ์! แบงก์ชาติลดดอกเบี้ย 1% ฉุดกำไร “ธนาคาร” สูงถึง 20-25%
07 สิงหาคม 2567
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดชี้ให้เห็นว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ถึง 1.2% ในปี 2567 และอีก 1.0% ในปี 2568ส่งผลทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามไปด้วย ดังนั้นเมื่อดอกเบี้ยนโยบายปรับตัวลดลง จะส่งผลต่อหุ้นกลุ่มธนาคารอย่างไร บทความนี้มีคำตอบแล้ว

หากถอดมุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินกรณีศึกษาและวิเคราะห์ความอ่อนไหวการดำเนินงานแบงก์และมูลค่าหุ้นหากธปท.ลดดอกเบี้ย 1%
ทั้งนี้มาร์จิ้น NIM อาจจะลดลงราว 0.5%หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงเร็ว 1% ภายใน 1 ปี โดยคิดว่าถ้าธปท. เดินหน้ารุกปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงราว 1% ในหนึ่งปี จะส่งผลลบต่อการดำเนินงานของธนาคารทั้งหมด และจะเห็นได้ว่าในกรณีเลวร้ายที่สุด NIM จะลดลดราว 0.5%และกดดันกำไรลดลง 20-25% ในกรณีว่าธนาคารไม่สามารถบริหารจัดการต้นทุนอื่นๆ มาชดเชย
หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงธนาคารต่าง ๆ จะถูกบังคับให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงทันทีด้วย แต่ทางด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝากคาดว่าจะลดลงไม่ได้มากนัก เนื่องจากไม่สามารถดอกเบี้ยเงินฝากได้มากนักเพราะดอกเบี้ยต่ำอยู่แล้วที่ 0.15-0.2%และสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์คิดเป็น 80% ของฐานเงินฝาก KBANK SCB KTB มีเพียง BBL ที่มีสัดส่วน 60%
ทั้งนี้หากสมมติว่าธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำลงราว 1.5% คาดว่าจะทำให้ต้นทุนการเงินลงได้เพียง 0.3-0.4% เท่านั้น ดังนั้น กรณีอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลง 1% และดอกเบี้ยต้องปรับลงตามธนาคารที่มี CASA สูงจึงได้รับผลลบมากกว่า ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะกดดันให้ NIM ของ BBLลดลงราว 0.40% ส่วน KBANK, SCB และ KTB จะต่ำลงราว 0.50-0.60%
จากการศึกษา NIM ที่ลดลงทุกๆ 0.1% จะทำให้กำไรต่ำลงราว 5% หากอิงตัวเลขนี้กำไรของธนาคารจะมี downside อยู่ราว 20-25% โดยในความเป็นจริงแล้ว ธนาคารมีทางออกโดยการลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานหรือการลด ค่าใช้จ่ายสำรองฯ (credit cost) ลงเพื่อบริหารจัดการแรงกดดันมาร์จิ้นในตอนนี้
ดังนั้นมองว่าทั้ง BBL และ KTB ยังมีโอกาสลด credit cost ลงได้อีกราว 0.10-0.20% แต่สำหรับ KBANK, SCB และธนาคารขนาดเล็กรายอื่น ๆ ยังมีข้อจำกัดอยู่ เพราะลูกค้ารายย่อย ๆ ของธนาคารมี credit cost อยู่ในระดับสูง
ขณะที่เมื่อใส่ปัจจัยการลดลงของ NIM ไว้ใการศึกษาความอ่อนไหวของกำไร ROE และ มูลค่าหุ้นในกรณีฐาน (New-S1) และในกรณีเลวร้าย (New-S2) ซึ่งในกรณีเลวร้ายสุด คิดว่า ROE ของธนาคารจะต่ำลงราว 2% ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการปรับลด (de-rate ) ค่า PBV ลงตาม ROE
ดังนั้น ในกรณีนี้ จะเกิด downside ต่อราคาเป้าหมายของหุ้นกลุ่มธนาคารที่ศึกษาอยู่ นอกเหนือจากนั้น valuation ของ SCB จะถูกฉุดลงมากที่สุดรองลงมาด้วย KBANK และ TTB อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดธนาคารจะเลือกการดอกเบี้ยเงินกู้ที่น้อยกว่าดอกเบี้ยนโยบาย
โดยยังชื่นชอบ KTB และ BBL มากกว่าธนาคารรายอื่นในกลุ่ม ทั้ง BBL และ KTB มีโอกาสในการจัดการ NIM ได้มากกว่าธนาคารอื่นในกลุ่ม โดย BBL มีสัดส่วนของ CASA ต่ำ, การบริหารต้นทุนทำได้ง่ายกว่า ขณะที่ การมีส่วนรองรับหนี้เสียได้สูงกว่าจะทำให้ BBL และKTB มีโอกาสจัดการมาร์จิ้นได้ดีกว่าธนาคารรายอื่น

หากถอดมุมมองนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินกรณีศึกษาและวิเคราะห์ความอ่อนไหวการดำเนินงานแบงก์และมูลค่าหุ้นหากธปท.ลดดอกเบี้ย 1%
ทั้งนี้มาร์จิ้น NIM อาจจะลดลงราว 0.5%หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงเร็ว 1% ภายใน 1 ปี โดยคิดว่าถ้าธปท. เดินหน้ารุกปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงราว 1% ในหนึ่งปี จะส่งผลลบต่อการดำเนินงานของธนาคารทั้งหมด และจะเห็นได้ว่าในกรณีเลวร้ายที่สุด NIM จะลดลดราว 0.5%และกดดันกำไรลดลง 20-25% ในกรณีว่าธนาคารไม่สามารถบริหารจัดการต้นทุนอื่นๆ มาชดเชย
หากมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงธนาคารต่าง ๆ จะถูกบังคับให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงทันทีด้วย แต่ทางด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝากคาดว่าจะลดลงไม่ได้มากนัก เนื่องจากไม่สามารถดอกเบี้ยเงินฝากได้มากนักเพราะดอกเบี้ยต่ำอยู่แล้วที่ 0.15-0.2%และสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์คิดเป็น 80% ของฐานเงินฝาก KBANK SCB KTB มีเพียง BBL ที่มีสัดส่วน 60%
ทั้งนี้หากสมมติว่าธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำลงราว 1.5% คาดว่าจะทำให้ต้นทุนการเงินลงได้เพียง 0.3-0.4% เท่านั้น ดังนั้น กรณีอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลง 1% และดอกเบี้ยต้องปรับลงตามธนาคารที่มี CASA สูงจึงได้รับผลลบมากกว่า ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะกดดันให้ NIM ของ BBLลดลงราว 0.40% ส่วน KBANK, SCB และ KTB จะต่ำลงราว 0.50-0.60%
จากการศึกษา NIM ที่ลดลงทุกๆ 0.1% จะทำให้กำไรต่ำลงราว 5% หากอิงตัวเลขนี้กำไรของธนาคารจะมี downside อยู่ราว 20-25% โดยในความเป็นจริงแล้ว ธนาคารมีทางออกโดยการลดค่าใช้จ่ายการดำเนินงานหรือการลด ค่าใช้จ่ายสำรองฯ (credit cost) ลงเพื่อบริหารจัดการแรงกดดันมาร์จิ้นในตอนนี้
ดังนั้นมองว่าทั้ง BBL และ KTB ยังมีโอกาสลด credit cost ลงได้อีกราว 0.10-0.20% แต่สำหรับ KBANK, SCB และธนาคารขนาดเล็กรายอื่น ๆ ยังมีข้อจำกัดอยู่ เพราะลูกค้ารายย่อย ๆ ของธนาคารมี credit cost อยู่ในระดับสูง
ขณะที่เมื่อใส่ปัจจัยการลดลงของ NIM ไว้ใการศึกษาความอ่อนไหวของกำไร ROE และ มูลค่าหุ้นในกรณีฐาน (New-S1) และในกรณีเลวร้าย (New-S2) ซึ่งในกรณีเลวร้ายสุด คิดว่า ROE ของธนาคารจะต่ำลงราว 2% ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการปรับลด (de-rate ) ค่า PBV ลงตาม ROE
ดังนั้น ในกรณีนี้ จะเกิด downside ต่อราคาเป้าหมายของหุ้นกลุ่มธนาคารที่ศึกษาอยู่ นอกเหนือจากนั้น valuation ของ SCB จะถูกฉุดลงมากที่สุดรองลงมาด้วย KBANK และ TTB อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุดธนาคารจะเลือกการดอกเบี้ยเงินกู้ที่น้อยกว่าดอกเบี้ยนโยบาย
โดยยังชื่นชอบ KTB และ BBL มากกว่าธนาคารรายอื่นในกลุ่ม ทั้ง BBL และ KTB มีโอกาสในการจัดการ NIM ได้มากกว่าธนาคารอื่นในกลุ่ม โดย BBL มีสัดส่วนของ CASA ต่ำ, การบริหารต้นทุนทำได้ง่ายกว่า ขณะที่ การมีส่วนรองรับหนี้เสียได้สูงกว่าจะทำให้ BBL และKTB มีโอกาสจัดการมาร์จิ้นได้ดีกว่าธนาคารรายอื่น
ยอดนิยม
ลุ้น SET Index ฟื้น 1,310 จุด ได้แรงบวกจาก DELTA ช่วยหนุน หลังหุ้นเทคฯ ตปท.ปรับตัวเพิ่มขึ้น
MMM โชว์งบ 9 เดือน โตสนั่น กำไรสุทธิแตะ 102 ลบ. พุ่ง 155% รับรายได้การขาย-บริการหนุน
เปิดชื่อหุ้นเข้า-ออกดัชนี MSCI โบรกฯ เตือนระวังแรงขาย 2-3 พันลบ. แนะระยะสั้น หาจังหวะ “เก็งกำไร”
จับตาวันนี้ GULF แจ้งงบ Q3 ลุ้นฟาดกำไร 7.2 พันลบ. เติบโต 20% หลัง ADVANC หนุน - ไฟฟ้าแข็งแกร่ง