Gossip Station..by เจ๊จิ๋ม

เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 01-11-23


01 พฤศจิกายน 2566
เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 01-11-23

01-11-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ   

***สวัสดีวันที่ 1 พ.ย.2566 นานแล้วนะที่ไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ วันนี้จะมีหุ้น IPO เทรดวันเดียวกัน 2 ตัว ...แบบนี้ก้อสนุกดิ!! ในสายตาของผู้ชมข้างสนามอยากรู้จริงๆ ว่าใครคือผู้แข็งแกร่งที่ยืนหยัดบนเวทีแห่งนี้ได้

***เริ่มจาก ETL มีบริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน บล.ธนชาต  และ บล. เอเซีย พลัส  เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญ ทั้งนี้มีหุ้นไอพีโอจำนวน 171.86 ล้านหุ้น ที่ราคาเสนอขาย 1.68 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ ( P/E) ที่ประมาณ 18.67 เท่า 
 
*** ETL ถือเป็นหุ้นที่ดำเนินธุรกิจบริการการขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างประเทศตัวแรกที่เข้าจดทะเบียนใน SET อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตตามการค้าระหว่างจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เพิ่มขึ้นสูง ด้วยโอกาสเติบโตจากเส้นทางใหม่ที่เชื่อมต่อเอเชียกับยุโรปผ่านเส้นทางสายใหม่ (One-belt One-road) การค้าข้ามพรมแดนของไทยกับสิงคโปร์ เวียดนาม และจีนตอนใต้ ซึ่งที่มีการเติบโตสูง ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อาหาร แผงโซล่าเซลล์ ชิ้นส่วนยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค ยาและเวชภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งสอดคล้องกับแผนแผนการขยายธุรกิจ ที่ ETL จะให้ความสำคัญแก่บริการตู้คอนเทนเนอร์แบบควบคุมอุณหภูมิ (Reefer Container) มากขึ้นเพื่อจับตลาดส่งออกผลไม้ไทยที่กำลังเติบโต

***ส่วนอีกหุ้นที่จะเทรดวันเดียวกันนี้คือ  SCL ที่มี บล.ฟินันเซีย ไซรัส  เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย จะเข้าเทรดตลาด mai ในหมวดธุรกิจ สินค้าอุตสาหกรรม (INDUS) ทั้งนี้มีหุ้นไอพีโอจำนวน 70 ล้านหุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 1.54 บาท  คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) ที่ประมาณ 13.45 เท่า

***SCL คือหนึ่งในผู้นำธุรกิจ จัดจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ครบวงจร ที่มีประสบการณ์กว่า 58 ปี และเป็นรายแรกที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดทุน ด้วยจุดเด่นสินค้าอะไหล่รถยนต์ สามารถโตในทุกสภาวะเศรษฐกิจ มีตลาดที่ใหญ่จากจำนวนรถยนต์สะสมในประเทศที่มี 20.5 ล้านคัน และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากรายได้ที่เติบโตอย่างมั่นคง โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนจะนำไปใช้เพิ่มศักยภาพในการเติบโตและเสริมแกร่งฐานะการเงิน ด้านกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่มั่นใจ Lock up หุ้นทั้งหมด 100%

***ส่วน NAM ที่เข้าเทรดเมื่อวานนี้..ปิดตลาดที่ 6.65 บาท ลดลง 1.05 บาท หรือ -13.64% จากราคาไอพีโอที่ตั้งไว้ 7.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 769.72 ล้านบาท  แต่อยากให้พวกเราไปโฟกัสเรื่องนี้ดีกว่า..ได้ยินมาว่า NAM โดดเด่นเข้าตากลุ่มทุนรายใหญ่ อย่าง บจ.อินโนบิก แอลแอล โฮลดิ้ง ในกลุ่ม PTT, บจ. อินโน สเปราท์ โฮลดิ้งในกลุ่มพฤกษา, บจ. ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง ในกลุ่ม WHA และบริษัท เอ็มพี กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วยนักลงทุนวีไอ เสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์ เข้าถือหุ้นเป็น Strategic Partner เสริมความแข็งแกร่ง

***บิ๊กบอส "วิโรจน์ ชัยเทอดเกียรติ" บอกว่าหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมของ NAM ที่มีการถือหุ้น 59.14% บริษัท อินโน สเปราท์ โฮลดิ้ง จำกัด, บริษัท ดับบลิวเอชเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง จำกัด มีการ Lock up หุ้น 100% เป็นเวลา 180 วัน และบริษัท อินโนบิก แอลแอล โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิม มีการ Lock up หุ้น เป็นระยะเวลา 1 ปี  เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหุ้นของ NAM จะมีเสถียรภาพจากการเติบโต ที่สะท้อนพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และพร้อมเดินหน้าขยายศักยภาพด้านการผลิตสินค้าทางการแพทย์ที่ทันสมัยและครอบคลุมทุกความต้องการทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลักดันให้ NAM ก้าวขึ้นเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์กลุ่มงานปราศจากเชื้อระดับแนวหน้าของไทย ต่อยอดสู่ตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และพร้อมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ของไทยสู่ระดับโลกในอนาคต

***ส่วนพรุ่งนี้ก้อมารอลุ้น SAFE กันค่ะ ไอพีโอป้ายแดงเหมือนกัน กำหนดเข้าเทรด SET 2 พ.ย. นี้ มีหุ้นไอพีโอรวม  76,748,600 หุ้น ในราคาเสนอขาย 21 บาทต่อหุ้น โดยมี บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บล.บัวหลวง เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

***SAFE คือผู้ให้บริการคลินิกการแพทย์เฉพาะทางเพื่อการมีบุตรแบบครบวงจร และผู้นำเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์และห้องปฏิบัติการด้านพันธุศาสตร์ในประเทศ  สำหรับการระดมทุนและเข้าตลาดหุ้นเพื่อรองรับแผนการขยายการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากและห้องปฏิบัติการด้านพันธุศาสตร์ของกลุ่มบริษัทฯ ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยคาดการณ์ว่าตลาดการบริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตที่ดีในช่วงระยะ 5 ปีข้างหน้า เนื่องจากการฟื้นตัวของสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทยและต่างประเทศเป็นไปอย่างชัดเจน ประกอบกับการที่ภาครัฐของประเทศไทยและในหลาย ๆ ประเทศอาจมีนโยบายส่งเสริมการมีบุตรเนื่องจากจำนวนบุตรเกิดใหม่โดยรวมมีจำนวนลดลง โดยคาดการณ์ว่าตลาดรักษาผู้มีบุตรยาก ในปี 2570 จะมีมูลค่า 90 พันล้านเหรียญสหรัฐ และปี 2575 มีมูลค่า 119 พันล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับประเทศไทย ในปี 2570 คาดว่าจะมีมูลค่า 60,000 ล้านบาท