จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : อาเซียนหนุนการพัฒนาดิจิทัล ติดปีก “DTCENT” บุกตลาดตปท.


27 เมษายน 2566
การพัฒนาด้านดิจิทัลมีความสำคัญอย่างมากในโลกปัจจุบัน ซึ่งประเทศต่างๆ ในอาเซียนตอบรับกระแสดิจิทัล ส่งผลดีต่อการขยายธุรกิจของ บมจ. ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT) ในตลาดอาเซียน  หนุนผลงานปี 66 โต 10-15% 

รายงานพิเศษ อาเซียนหนุนการพัฒนาดิจิทัล ติ.jpg

การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านดิจิทัล เมื่อวันที่ 9-10 ก.พ. 66  ที่ประเทศฟิลิปปินส์ มีผู้แทนระดับรัฐมนตรี และผู้ที่ได้รับมอบหมายของประเทศสมาชิกอาเซียน 9 ประเทศร่วมกับประเทศคู่เจรจา (จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย สหรัฐอเมริกา และสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ: ITU) และเลขาธิการอาเซียนเข้าร่วมประชุม ซึ่งที่ประชุม ได้มีการร่วมแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าการพัฒนาด้านดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน  การผนึกกำลังสู่อนาคตดิจิทัลที่ยั่งยืน 

การเตรียมความพร้อมด้านดิจิทัล การส่งเสริมความร่วมมือตามแผนแม่บทอาเซียนด้านดิจิทัล ค.ศ.2025 และแบ่งปันข้อมูล การปรับเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัลของไทย และความท้าทายในระดับภูมิภาคและระดับโลก เกี่ยวกับผลกระทบจากภัยคุกคามด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ที่มาพร้อมกับการเร่งการปรับเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล

ซึ่งการที่ประเทศในอาเซียนให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมในด้านดิจิทัล สอดคล้องกับการทำธุรกิจของบริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์ (DTCENT)  ออกแบบ วิจัย พัฒนา จัดจำหน่าย และให้บริการอุปกรณ์ติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) และพัฒนาระบบไอโอที (IoT Solution) และ Artificial Intelligence (AI) ครบวงจร รวมถึงวิจัยและพัฒนาระบบซอฟต์แวร์เพื่อการบริหารขนส่งและอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “ทศพล คุณะเพิ่มศิริ”กล่าวถึงการทำธุรกิจในปีนี้ว่า  บริษัทฯยังเดินหน้าในการเปิดศูนย์บริการและขายสินค้าไปยังจังหวัดหลักในประเทศ  ซึ่งตั้งเป้าหมาย 7 แห่งภายในปีนี้  เพื่อขยายฐานลูกค้าเพิ่มเติมในธุรกิจ GPS Tracking ขณะเดียวกัน ยังมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อสนับสนุนการใช้งานในธุรกิจ GPS และ การพัฒนาซอฟต์แวร์อื่นๆ ตามความต้องการของลูกค้า
    
พร้อมทั้ง พัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ IoT Solution รองรับการขยายโครงการของภาครัฐ เช่น งานโครงการด้านเมืองอัจฉริยะ (SMART CITY) ตามเทศบาลต่างๆ และ ระบบ AI อย่าง BAMS (Business Activity Management System) ขณะนี้ อยู่ระหว่างการทดสอบการใช้ระบบ รวมทั้ง ระบบบริหารจัดการน้ำ และระบบ BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform ซึ่งคาดว่า จะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้

ส่วนการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน จะนำโมเดล ระบบ GPS Tracking และ IoT Solution  ร่วมกับพันธมิตรในต่างประเทศ ขณะนี้ อยู่ระหว่างการศึกษา เจรจาความเป็นไปได้ทางธุรกิจ คาดว่า จะเห็นความชัดเจน 1-2 แห่งภายในปี 2566
    
สำหรับความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ประกอบด้วย บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) วางแผนที่จะพัฒนาให้บริษัทฯ เป็น Tier 1 Supplier ในงาน OEM สำหรับอุปกรณ์ GPS Tracking และ Telematics ให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้เพิ่มขึ้น 

ส่วนบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ขณะนี้ ร่วมวางแผนงานการดำเนินธุรกิจ ในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply Chain Solutions ใหม่ๆ เพื่อช่วยลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเสริมประสิทธิภาพในการทำงานให้กับบริษัทฯ
    
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง กับธุรกิจหลัก ในรูปแบบการทำ M&A ขณะนี้ อยู่ระหว่างการร่วมพิจารณากับบริษัท บุญรอด ซัพพลายเชนฯ ประมาณ 4-5 บริษัทที่มีผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
    
“ปีนี้ DTCENT มีการพัฒนาทั้งระบบ GPS Tracking เพื่อให้ทันสมัยและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และหากกรมขนส่งทางบกมีการออกกฎหมายบังคับใช้ GPS กับรถอีกหลายประเภท เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน จะส่งผลให้ DTCENT มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย  รวมทั้งการพัฒนา IoT Solution และ ระบบ AI เพื่อรองรับงานโครงการต่างๆ ของทางภาครัฐและเอกชนที่จะมีออกมามากขึ้น โดยบริษัทฯ มีความพร้อมในด้านทีมงาน และองค์ความรู้ต่างๆ ซึ่งจะเป็น New S-Curve ของบริษัทฯ จึงมั่นใจว่า ผลงานในปี 2566 จะเติบโตได้ 10-15% แน่นอน”  นายทศพลกล่าว