Smart Investment

BTS ลุยซื้อหุ้นกลุ่มสหพัฒน์ฯ โผล่ถือ SPI 2.01% ICC 3.44%


19 เมษายน 2566
by.พูเมซ่า

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนเมษายน 2566 หลังจากผ่านเทศกาลสงกรานต์ ดัชนีน่าจะคงแกว่งตัวและพยายามขึ้นไปทดสอบยืนเหนือระดับ1,600 จุดให้ได้ ขณะที่บล.เอเซียพลัส ประเมินว่าภาพรวมเศรษฐกิจจีนฟื้นตัว เป็นแรงหนุนสำคัญต่อการเพิ่มขึ้นของ Demand ซึ่งจะเป็นอานิสงส์เชิงบวกต่อบ้านเรา เฉพาะอย่างยิ่งในภาคการส่งออกสินค้าจากไทยไปจีน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นอีกหนึ่งรายได้หลักของไทย
smart invest กางพอร์ตหุ้น BTS ปี66 มูลค่า 4 หมื่นลบ.jpg
ยังคาดหวัง Fund Flow เข้ามาเพิ่มเติมในตลาดหุ้นไทย แม้ในปัจจุบันยังไม่เห็นความต่อเนื่องของ Fund Flow จากนักลงทุนต่างชาติ แต่ก็เริ่มเห็นแรงขายที่ชะลอลง และมีการสลับมาซื้อสุทธิบ้างในบางวัน

ฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่ามีเหตุผลที่จะทำให้ Fund Flow ไหลกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทย เริ่มจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวตามการเปิดประเทศ สวนทางกับประเทศพัฒนาแล้วที่มีความเสี่ยง Recession ต่อมาเป็นเรื่องของ Valuation ซึ่งหากมองในมิติของ Market Earning Yield Gap แล้วพบว่ายังกว้างถึง 4% เทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐ รวมถึงในกลุ่ม TIP ที่กว้างไม่ถึง 2%

ขณะที่ในมุมของ EPS Growth ปี 2566 ที่สูงกว่า 12% ก็ถือเป็นอัตราการเติบโตที่โดดเด่น กว่าหลายๆ ประเทศในภูมิภาค นอกจากนี้การที่บ้านเราอยู่ในช่วงของการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งโดยธรรมชาติมักมีความคาดหวังเชิงบวกต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้น

สภาพแวดล้อมดังกล่าวน่าจะหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง ส่วนวันนี้ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานที่ไม่มีอะไรใหม่ ขณะที่ตลาดฯ ก็ยังรอการกลับมาของ Fund Flow สถานการณ์ดังกล่าว น่าจะทำให้ SET Index เคลื่อนไหวในกรอบแคบช่วง 1580 – 1600 จุด Top Pick เลือก BGRIM, JMT และ KTB
ทั้งนี้จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในส่วนพอร์ตลงทุนของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) BTS ณ เดือนมีนาคม 2566 พบว่ามีการถือครองหุ้นจำนวน 16 หลักทรัพย์ โดยมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 40,091 ล้านบาท

หุ้น จำนวน(หุ้น) %การถือครอง
AU 41,600,000 5.10
BKD 64,890,300 6.03
BTSGIF 1,929,000,000 33.33
CIVIL 6,750,000 0.96 
GRAND 468,000,000 5.01 
ICC 10,006,070 3.44
J 28,500,000 2.50
KEX     88,100,000 5.06
MACO 1,211,220,539 14.92
NOBLE 118,200,000 8.63
RABBIT 1,964,916,952 35.00
RABBIT-P 12,706,122,529 48.49
SFLEX 55,000,000 6.71
SPI 11,505,269 2.01
SRIPANWA 16,000,000 5.73
TNL 128,302,746 42.12
VGI 2,572,674,142 22.98

จากข้อมูลข้างต้น ยังพบว่า ได้มีการเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นในกลุ่มบมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) ภายหลังจากที่เข้าซื้อกิจการโดยการซื้อหุ้นเพิ่มทุนแบบ PP และทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ บมจ. ธนูลักษณ์ (TNL)ไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยพอร์ตลงทุน  BTS ได้ทยอยเพิ่มสัดส่วนหุ้นบริษัทในกลุ่ม SPI ดังนี้

หุ้น จำนวน(หุ้น) %ถือครอง จำนวน(หุ้น)ปี65 
ICC 10,006,070 3.44     ไม่ปรากฎรายชื่อผู้ถือหุ้น
SPI 11,505,269 2.01 ไม่ปรากฎรายชื่อผู้ถือหุ้น 
TNL 128,302,746 42.12 7,402,746

สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้นทั้ง 3 บริษัทในช่วงไตรมาส1/2566 โดยราคาหุ้น ICC ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.73% จากราคา 33.50 บาทเป็น 34.75 บาท และราคาปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 38 บาท  ราคาหุ้น SPI ปรับตัวลดลง 3.17% จากราคา 71 บาท ปรับลงมาอยู่ที่ 68.75บาทและราคาเคยปรับลดลงต่ำสุดที่  55.25 บาท ส่วนราคาหุ้น TNL ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.79% จากราคา 33 บาทเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 34.25 บาท และเคยปรับตัวขึ้นไปสูงสุด 38 บาท 

อนึ่ง เมื่อปลายปี 2565 บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) ได้เข้าลงทุนใน บมจ. ธนูลักษณ์ (TNL) โดยเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ TNL ที่จะออกและเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) จำนวน 87,237,766 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท คิดเป็นสัดส่วน 41.09% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ TNL ภายหลังการเพิ่มทุน ในราคาจองซื้อหุ้นละ 33.06 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,884,080,543.96 บาท

และการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ TNL หลังบริษัทเข้าถือหุ้น 41.09% เนื่องจากมีหน้าที่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดใน TNL (Mandatory Tender Offer) ได้แก่ หุ้นสามัญของ TNL ส่วนที่เหลือทั้งหมดนอกจากหุ้นที่ถือโดย บมจ.สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง (SPI) เนื่องจากบริษัทและ SPI มีข้อตกลงที่ SPI จะไม่ขายหุ้นของ TNL ที่ถืออยู่ให้แก่บริษัทในการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ในครั้งนี้ ดังนั้น จำนวนหุ้นที่จะเข้าซื้อคิดเป็นจำนวน 37,837,234 หุ้น หรือ 17.82% ในราคาเสนอซื้อหุ้นละ 33.06 บาท รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 1,250,898,956.04 บาท

จะเริ่มดำเนินการขยายธุรกิจด้วยการลงทุนในธุรกิจให้สินเชื่อที่มีหลักประกัน โดยมุ่งเน้นลูกค้าเงินกู้รายใหญ่ผ่านการลงทุนใน บริษัท Oxygen Asset Co., Ltd ซึ่งจะเป็นบริษัทย่อยของ TNL มูลค่าประมาณ 4,300 ล้านบาท ซึ่งเริ่มธุรกิจเพียง 1 ปี มียอดมูลค่าสินเชื่อ (Loan Outstanding) แล้วกว่า 2,500 ล้านบาท และคาดว่า ณ วันที่เข้าทำรายการหลังจากการอนุมัติของผู้ถือหุ้นจะมียอด Loan Outstanding ประมาณ 3,500 ล้านบาท

รวมทั้งจะต่อยอดการลงทุนครบวงจรในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ที่มีหลักประกัน และจะร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ศักยภาพสูงร่วมกับทาง บมจ. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ (NOBLE) อีก 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,400 ล้านบาท รวมมูลค่าสินทรัพย์การขยายธุรกิจร่วมกันในช่วงแรกกว่า 6,700 ล้านบาท