รายงานพิเศษ : SAFE หุ้นเด่นปันผลงาม 6%ต่อปี ผนึกโรงพยาบาลรัฐเพิ่มแหล่งรายได้ กลุ่มลูกค้าต่างชาติส่งสัญญาณฟื้น
หุ้นบมจ.เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) มีแนวโน้มเติบโตดี โดยราคาปัจจุบันให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 6% ต่อปี ขณะที่บริษัทเตรียมจับมือกับโรงพยาบาลรัฐบาล เพิ่มแหล่งที่มาของรายได้ และยังมีสัญญาณการฟื้นตัวของลูกค้าชาวต่างชาติ หนุนรายได้เติบโตต่อเนื่อง
บล.กรุงศรี ออกบทวิเคราะห์หลังรับฟังข้อมูลจากผู้บริหาร บมจ.เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) หนึ่งในผู้นำในการให้บริการคลินิกเพื่อการมีบุตร โดยระบุว่า มีมุมมอง “บวก” ต่อข้อมูลที่ได้รับ เนื่องจาก
1) จำนวน OPU Treatment cycle มีสัญญาณดีขึ้นในเดือน ต.ค-พ.ย.25 สะท้อนภาพการฟื้นตัวใน 2H25F
2) ความร่วมมือกับ รพ.รัฐมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จะสร้างแหล่งรายได้เพิ่มเติม
3) เงินปันผลปี 25F มีแนวโน้มดีกว่าคาดจากอัตราจ่ายเงินปันผลเกิน 100% ของ EPS
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/68 เบื้องต้นเราคาดกำไรสุทธิ 34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44%จากปีก่อน ลดลง 2%จากไตรมาสก่อน) โดยเติบโตจากปีก่อน เนื่องจาก 1) คาดรายได้ให้บริการเติบโตจากปีก่อน และไตรมาสก่อน ตามจำนวน OPU Treatment cycle ค่าบริการเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
2) คาดมี Gross margin 55.4% ดีขึ้น จาก Economies of scale ของการใช้บริการและค่าเสื่อมลดลง ส่วนกำไรสุทธิคาดลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น q-q จากค่าใช้จ่ายผลตอบแทนพนักงาน
ดังนั้นจึงแนะนำ Buy สำหรับ SAFE ราคาเป้าหมายปี 69 ไว้ที่ 9.70 บาท) วิธี DCF WACC 9.7% เนื่องจาก
1) คาดกำไรสุทธิปี 69 (+11%CAGR) เติบโตตามการฟื้นตัวของรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ
2) คาดจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ราคาปัจจุบันให้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลเฉลี่ย 6% ต่อปี และซื้อขาย PE ปี 69เทียบเท่า Forward PE ต่ำกว่า -1.0SD
ขณะที่สถานการณ์ตลาดของผู้ที่มีบุตรยาก ผศ.ดร.สมจารี ปรียานนท์ เลขาธิการสมาคมวางแผนครอบครัวแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ระบุปัจจุบันสังคมไทยกำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในหลายมิติ ทั้งโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างเต็มตัว มิติทางเศรษฐกิจ ที่สำคัญสุดคือ ค่านิยมเกี่ยวกับ "ครอบครัว" ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะที่กฎหมายและค่านิยมบางประการไม่สอดคล้องกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ยังคงกีดกั้นความฝันในการสร้างครอบครัวอย่างเท่าเทียมกัน และมีศักดิ์ศรี
ปัญหานี้จึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQIAN+) เท่านั้น แต่ยังขยายวงกว้างออกไปสู่ประชาชนทุกกลุ่ม เช่น คู่รักต่างเพศที่ประสบภาวะมีบุตรยาก ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ อย่างเท่าเทียม หรือบุคคลผู้มีความพิการ สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงอุปสรรค และความไม่เท่าเทียมกันในการสร้างครอบครัว