Gossip Station..by เจ๊จิ๋ม

Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม 15-12-25 (สถิติเลือกตั้ง 5 ครั้ง หุ้น SET50 เป็นกลุ่มที่ Outperform)


15 ธันวาคม 2568

Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม 15-12-25 (สถิติเลือกตั้ง 5 ครั้ง  หุ้น SET50 เป็นกลุ่มที่ Outperform )

 

15-12-25 สวัสดี “ปีงูไฟ" ค่ะพี่น้องชาวไทยที่รัก "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยมีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ 

***เจ๊กลับมาแล้วจ๊าาาาา..มิตรรักแฟนคลับที่รักมากกกกกก รายงานตัวที่เก่าเวลาเดิม..เพิ่มเติมคือคิดถึงทุกคนนะคะ

***ระหว่างสัมผัสลมหนาวที่ต่างประเทศก้อได้รับรายงานข่าวเรื่องยุบสภาฯ แต่เช้า..มุมมองของกูรูหุ้นว่าอย่างไรบ้าง..เด๋วเจ๊เล่าให้ฟัง!!! แต่สำหรับมุมมองของเจ๊..นี่คือ  Honeymoon period  เป็นช่วงปล่อยเกียร์ว่างและขายฝันจากบรรดานักการเมือง ทำให้ประชาชนคนที่ฟังเคลิบเคลิ้มว่าจะเป็นอย่างงั้น งี้ โง้น..เอาเข้าจริงใครได้เป็นรัฐบาลพวกเราค่อยดูกันอีกที ขั้วไหนจับกับใคร นโยบายเป็นอย่างไร จะโยว่!! หรือ ยี้!!!  ต้องรอติดตาม

***มีการจับตารางเวลาคร่าวๆ ว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร..ไปดูกัน

-จะต้องมีการจัดเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน

-การเลือกตั้งทั่วไปน่าจะจัดขึ้นช่วง 8 ก.พ..

***มีสถิติตัวเลขหลังการยุบสภา 5 ครั้งหลังสุด (ปี 2001, 2006, 2011, 2013 และ 2023) พบว่ามีความน่าจะเป็นที่ตลาดให้ผลตอบแทนเป็นบวก ผลตอบแทนเฉลี่ย +0.45%

***กูรูให้ให้ความเห็นว่า กรณีปัจจุบันประเมินมีทั้งมุมบวก คือ ไทยมีโอกาสได้รัฐบาลชุดใหม่มีแนวโน้มที่มีเสถียรภาพกว่ารัฐบาลปัจจุบันที่มีเสียงข้างน้อย ขณะที่แม้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังไม่แล้วเสร็จ แต่กลไกการเลือกนายกฯ ที่ขึ้นกับ เสียง ส.ส. เป็นหลัก (vs prev. ใช้เสียง ส.ส. +ส.ว. เกินกึ่งหนึ่ง) ทำให้มีความชอบธรรมผลเลือกตั้งเพิ่มขึ้น

-กำหนดการเลือกตั้งอย่างช้าที่สุดช่วง กลาง ก.พ. ปีหน้า สะท้อนภาพการเดินหน้าเลือกตั้งราว 2 เดือนข้างหน้า จากผลการศึกษาของทีมกลยุทธ์ พบว่า การเลือกตั้ง 3 ครั้งหลัง(3 กค 2011, 23 ธค 2007 และ 6 กพ 2005) SET Index จะให้ผลตอบแทนที่คาดหวัง

-หลังเลือกตั้ง 3-6 เดือนจะเข้าสู่ช่วง Honeymoon Period ของรัฐบาลใหม่ที่ตลาดคาดหวังนโยบายขับเคลื่อนด้านต่างๆ ผลตอบแทนเฉลี่ย 1.0%-2.5% เฉพาะหากเน้นมาตรการส่งผลต่อเศรษฐกิจเร็ว อาทิ กรณีล่าสุดในส่วนของญี่ปุ่นล่าสุด ซึ่งปัจจุบันน่าจะอยู่ในแนวโน้มดังกล่าว ด้วยภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ซบเซา ทำให้ไม่ว่าพรรคใดเข้ามาเป็นรัฐบาลคาดจะเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับหนึ่ง โดยรวมประเมินคาดหวัง Election Rally รอบนี้ได้ราว 3-5% ในช่วงก่อน – หลังเลือกตั้งช่วง 5-8 เดือนข้างหน้า

***ทั้งนี้ ประเมินเหตุผลหลักของการ Rally คือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและไทยที่เลือกลงทุนหุ้นขนาดใหญ่นำดัชนี และความคาดหวังบวกในระบบตัวแทน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการกระจายตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นกว่าเดิม ผสานกิจกรรมก่อนการเลือกตั้งที่หนุนเศรษฐกิจไหลเวียน

-มีการจัดทำข้อมูลข้อมูลสถิติของการเลือกตั้ง 5 ครั้งล่าสุด เพื่อหาผลตอบแทนเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมที่Outperform ในช่วง 2 เดือนก่อนหน้าวันเลือกตั้ง กลุ่มอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด ได้แก่ กลุ่ม SET50และหุ้นอิงภายใน

****ส่วนกูรูอีกค่ายมีความเห็นต่าง โดยอ้างอิงว่าจากผลการศึกษาของเราในอดีต พบว่าการยุบสภาที่ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมานั้น มักทำให้ดัชนีหุ้นไทยปรับซึมลงเป็น ระยะเวลา 1 เดือน โดยจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นจะมีค่าเฉลี่ยติดลบอยู่ที่ราว 4% แต่ในกรณีคราวนี้ ด้วยระดับ Valuation ของตลาดหุ้นไทยที่อยู่ในโซนที่ต่ำมากแล้ว  จึงให้น้ำหนักตัวเลข 4% ดังกล่าวเป็นกรณีเลวร้ายสุด(Worst case) ซึ่งสุดท้ายอาจจะเห็นดัชนีระดับนี้หรือไม่เห็นก็ได้ แปลว่า ระดับ SET Index ในกรณีแย่สุดของไทย ยังคงอยู่ที่บริเวณ 1200 จุด(-4% จากปัจจุบัน)

***มองประเด็นการยุบสภาที่เกิดขึ้นนี้ อาจทำให้เศรษฐกิจไทยตกหล่มช่วงสั้น แต่จะยิ่งเป็นการเพิ่มโอกาสที่ธปท.จะมีมติปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงสู่ระดับ 1.25% ในการประชุมวันที่ 17 ธ.ค.นี้ เพื่อคอย ประคับประคองสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ ในช่วงที่การบริหารจัดการ บ้านเมืองกระทำได้เพียงผ่านรัฐบาลรักษาการณ์ซึ่งไม่ได้มีอำนาจอย่าง เต็มที่ในการใช้งบประมาณต่างๆมากนัก หากเกิดขึ้นจริง จะเป็นตัวช่วยทางด้าน Sentiment ที่รออยู่สำหรับปัจจัยตลาดทุนไทยในสัปดาห์นี้ได้

***คาดว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้ในช่วงต้นเดือนก.พ.ปีหน้า ซึ่งจะถือเป็นอีกปัจจัย Driver ความคาดหวังที่สำคัญที่รออยู่ ประเมินหากมีการจัดการเลือกตั้งได้ตาม Timeline นี้ จะช่วยลดทอนความกังวล โดยในส่วนของความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายต่างๆที่จะเกิดขึ้นนั้น หากอ้างอิงจากสถิติในอดีตนับตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา จะพบว่าปรากฏการณ์ Election rally ในตลาดหุ้นไทยมักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ 2 สัปดาห์ก่อนหน้าการเลือกตั้ง ไปจนถึง 1 สัปดาห์หลังการเลือกตั้ง โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ 2.4% แต่หากย้อนไปไกลถึงปี 1992 จะพบว่าอัตราผลตอบแทนคาดหวังจะสูงขึ้นไปอีกถึง 4.7% ทั้งนี้ หากนํามาเทียบเคียงกับปฏิทินในรอบนี( คาดว่า กระบวนการ Rally ต่อปัจจัยดังกล่าวจะเริ่มต้นได้สักประมาณช่วงกลางเดือนมกราคมเป็นตนไป

***ศุกร์ที่ผ่านมา ดาวโจนส์ปิดที่ 48,458.05 จุด ลดลง 245.96 จุด หรือ -0.51%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,827.41 จุด ลดลง 73.59 จุด หรือ -1.07% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,195.17 จุด ลดลง 398.69 จุด หรือ -1.69%

***รายงานข่าวระบุว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงในวันศุกร์ (12 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดร่วงลงมากกว่า 1% เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังได้รับแรงกดดันจากหุ้นบริษัทBroadcom และ Oracle ซึ่งสร้างความกังวลเกี่ยวกับฟองสบู่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) นอกจากนี้ ตลาดยังถูกถ่วงลงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) บางรายแสดงความกังวลเกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายการเงิน

***ส่วนตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ (15-19 ธ.ค. 68) กูรูหุ้นประเมินดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,245 และ 1,230 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,285 และ 1,305 จุด ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมกนง. (17ธ.ค.) ประเด็นการเมืองในประเทศ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนต.ค. ยอดขายบ้านมือสอง ดัชนีราคาผู้บริโภค ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนพ.ย. รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ การประชุม ECB, BOE และ BOJ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและการบริการเดือนธ.ค. (เบื้องต้น) ของญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย. ของยูโรโซน ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร

***ว่าจะไม่เขียนแต่กลัวแฟนคลับหาว่า “ตกข่าว” เรื่องราวของ QLT ที่โดน ตลท.สั่งแขวน SP ไปเมื่อสัปดาห์ก่อนตอนนี้มีความคืบหน้าแล้ว โดยบริษัทฯออกมาแจ้งว่าได้จัดให้มีการประชุมบอร์ด แล้วมีมติว่าเห็นควรให้ปฏิบัติตามที่ สำนักงาน ก.ล.ต.แจ้ง จึงเสนอให้ “นายกิตติ พัวถาวรสกุล” ลาออกจากตำแหน่งกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้วยความสมัครใจ พร้อมทั้งชี้แจงว่าหากมีการลาออกของกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจและนโยบายของ  QTC โดยบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ