Gossip Station..by เจ๊จิ๋ม

Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม 8-12-25 (ลุ้นวีคนี้ SET ทะลุ 1300 จุด คาดเฟดลดดอกเบี้ย 0.25%)


08 ธันวาคม 2568

Gossip Station by..เจ๊จิ๋ม 8-12-25 (ลุ้นวีคนี้ SET ทะลุ 1300 จุด คาดเฟดลดดอกเบี้ย 0.25%  )

 

8-12-25 สวัสดี “ปีงูไฟ" ค่ะพี่น้องชาวไทยที่รัก "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิมwww.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยมีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ 

***ศุกร์ที่ผ่านมา ดาวโจนส์ปิดที่ 47,954.99 จุด เพิ่มขึ้น 104.05 จุด หรือ +0.22%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,870.40 จุด เพิ่มขึ้น 13.28 จุด หรือ +0.19% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,578.13 จุด เพิ่มขึ้น 72.99 จุด หรือ +0.31%

***รายงานข่าวระบุว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (5 ธ.ค.) หลังการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดยังคงหนุนความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาหนี้ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นมากกว่า 2 ใน 3 ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ หลังจากเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนส.ค.

นอกจากนี้ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น0.3% ในเดือนส.ค. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE เพิ่มขึ้น 2.8% ในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนส.ค. ซึ่งทั้งสองตัวเลขนั้นสอดคล้องกับการคาดการณ์

***นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า นักลงทุนกำลังจับตาผลการประชุมของเฟดในวันพุธหน้า ซึ่งปัจจุบันมีความเป็นไปได้สูงที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% และหลังการประชุม คำถามคือพวกเขาจะสื่อสารอย่างไรเกี่ยวกับนโยบายในอนาคต

***ส่วนตลาดหุ้นไทยสัปดาห์ (8-12 ธ.ค. 68)  มีการประเมินว่า SET INDEX จะมีแนวรับที่ 1,250 และ 1,230 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,285 และ 1,305 จุด ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามได้แก่ การประชุมเฟด (9-10ธ.ค.)และทิศทางเงินทุนต่างชาติ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนต.ค.และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่น ๆ ได้แก่ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/2568 และผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค. ของญี่ปุ่นตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ย. ของจีน อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต และตัวเลขส่งออก

***สำหรับการประชุม FOMC ระหว่างวันที่ 9-10 ธ.ค. 2568 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้  มีการคาดการณ์ว่าเฟดจะมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 3.50-3.75% ท่ามกลางตัวเลขตลาดแรงงานที่ชะลอลง

***เหตุผลที่สนับสนุนคือสัญญาณตลาดแรงงานอ่อนแรงลงต่อเนื่อง โดยตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของ ADPเดือนพ.ย. 2568 หดตัว 32,000 ตำแหน่งซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบกว่า 2 ปีครึ่ง นอกจากนี้ ภาคการผลิตสหรัฐฯหดตัวต่อเนื่อง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพ.ย. 2568 หดตัวเป็นเดือนที่ 9 ติดต่อกันจากคำสั่งซื้อที่ลดลง ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการออกมาต่ำกว่าคาดแม้ยังทรงตัวอยู่ในแดนขยายตัว

***แม้เงินเฟ้อยังคงอยู่เหนือกรอบเป้าหมายของเฟดแต่ความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นในระยะข้างหน้ามีจำกัด เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯมีท่าทีผ่อนคลายลงต่อการขึ้นภาษีนำเข้าและให้ความสำคัญกับปัญหาค่าครองชีพมากขึ้น ขณะที่ การส่งผ่านต้นทุนภาษีฯมายังราคาสินค้าผู้บริโภคคาดว่าจะไม่ส่งผลให้เงินเฟ้อเร่งตัวเร็วและแรงส่งผลให้เฟดมีแนวโน้มให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากกว่า

***ในการประชุมเดือนธ.ค. นี้คาดเฟดปรับลดดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25%แบบมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ โดยก่อนหน้านี้ประธานเฟดบอสตัน Susan Collins และประธานเฟดแอตแลนตา Raphael Bostic ส่งสัญญาณคัดค้านการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในการประชุมเดือนธ.ค.เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มปรับลดลงช้าขณะที่ผู้ว่าการเฟด Christopher Waller ส่งสัญญาณสนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.เพื่อพยุงตลาดแรงงานที่อ่อนแรงลงสอดคล้องกับประธานเฟดนิวยอร์ก John Williamsที่ได้ส่งสัญญาณว่าเฟดยังคงมีช่องว่างสำหรับการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมส่งผลให้ตลาดมองความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. นี้ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 90% (ณ วันที่ 4 ธ.ค.2568)

***และในปี 2569 ประเมินว่าเฟดมีแนวโน้มทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกราว 3 ครั้ง สอดคล้องกับภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯที่คาดว่าจะชะลอลงจากฝั่งการบริโภคภาคครัวเรือน โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้น้อยแม้ว่าปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีความยืดหยุ่น (resilient) อยู่พอสมควรจากแรงขับเคลื่อนของการลงทุนภาคเอกชน(capex) อย่างไรก็ดี ทิศทางนโยบายการเงินของเฟดในปีหน้าจะยังมีความไม่แน่นอนสูงโดยขึ้นอยู่กับพัฒนาการของข้อมูลเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นสำคัญ รวมถึงความเสี่ยงจากนโยบายการคลังและสภาวะตึงตัวในตลาดการเงิน

นอกจากนี้ การสิ้นสุดวาระของประธานเฟด Jerome Powell ในเดือนพ.ค. 2569 เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ตลาดต้องจับตาเนื่องจากจุดยืนทางนโยบายของประธานเฟดคนใหม่อาจส่งผลต่อเส้นทางดอกเบี้ยในระยะถัดไป

***ก่อนจากกันวันนี้..เจ๊ขอแจ้งให้แฟนคลับรับรู้ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วนะในสัปดาห์นี้ เจ๊ขอลาไปรับลมหนาวที่ญี่ปุ่นซักแว๊บบบบบ!!! เพื่อเติมพลังกายและพลังใจ กลับมาเจอกันอีกทีสัปดาห์หน้านะจ๊ะ