รายงานพิเศษ : SFLEX ได้เปรียบคู่แข่งมีฐานลูกค้ารายใหญ่ เดินหน้าพัฒนาบรรจุภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สร้างความแข็งแกร่งระยะยาว
การพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมากในการทำธุรกิจ ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) ที่เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าที่ไม่สร้างมลพิษ ซึ่งจะเสริมศักยภาพการแข่งขันและความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SFLEX มีกำไรปกติไตรมาส 3/68 ที่ 62 ล้านบาท เติบโต 15.6% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ดีกว่าคาดเล็กน้อย 3% ขณะที่รายได้เติบโตดีมาก 9.1% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 7.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 510 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าคาด เนื่องจากไตรมาสนี้มีการจำหน่ายสินค้าใหม่ๆ มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ สี และลวดลายให้กับลูกค้าเดิม
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนเป็น 24.4% แม้ว่าลูกค้าจะยังขอปรับลดราคา แต่เนื่องจากราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลง และบริษัทมีการจัดหาวัตถุดิบจาก supplier หลายรายมากขึ้น ประกอบกับบริษัทลงทุนในธุรกิจผลิตฟิล์ม ลดการพึ่งพาการซื้อจากผู้ผลิตภายนอก ช่วยให้บริหารจัดการต้นทุนได้ดีขึ้น
SFLEX มีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม 5 ล้านบาท เติบโต 22.1% จากไตรมาสก่อน แต่ยังลดลง 48.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง ทำให้รับรู้กำไรจาก Starprint Vietnam ได้ไม่เต็มที่ และรับรู้ผลขาดทุนจากบริษัท สตาร์ยูเนี่ยนแพค เพราะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการดำเนินงาน
ทั้งนี้แม้ว่ากำไรในไตรมาสนี้จะต่ำกว่าไตรมาส 3/67 ซึ่งเป็นไตรมาสที่บริษัททำกำไรได้สูงเป็นประวัติการณ์ แต่ถือว่าเป็นระดับกำไรที่สูง
สำหรับแนวโน้มกำไรในไตรมาส 4/68 น่าจะชะลอจากไตรมาสก่อน เพราะไตรมาส 3 มักเป็นไตรมาสที่มีคำสั่งผลิตเข้ามามากเพื่อเตรียมการเตรียมสินค้าจำหน่ายในช่วงเทศกาลสิ้นปี
ดังนั้นภาพรวมงวด 9 เดือนปี 68 รายได้เพิ่มขึ้น 4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่กำไรปกติลดลง 11.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายขายและบริหารสูงขึ้นและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง อย่างไรก็ตาม กำไรปกติ 181 ล้านบาทใน 9 เดือนปี 68 คิดเป็น 75% ของคาดการณ์ทั้งปี จึงยังคงประมาณการ คงคำแนะนำ “ซื้อ” และคงราคาเป้าหมายปี 69 ที่ 3.50 บาท
ส่วนมุมมองผู้บริหารในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายของปี ดร.สมโภชน์ วัลยะเสวี ประธานเจ้าหน้าที่ SFLEX คาดผลประกอบการจะยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายช่วงปลายปี โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าอาหารและอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของ SFLEX ขณะเดียวกัน ราคาน้ำมันดิบที่อยู่ในทิศทางทรงตัวยังเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยลดต้นทุนเม็ดพลาสติก ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการวัตถุดิบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ยังมีการแข่งขันสูงจากผู้เล่นรายใหม่ แต่ SFLEX ยังคงรักษาความได้เปรียบจากฐานลูกค้ารายใหญ่ที่มีความมั่นคง และการพัฒนาเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ จะช่วยเสริมศักยภาพการแข่งขันและความยั่งยืนให้กับธุรกิจในระยะยาว
ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่าปี 2568 เป็นช่วงสำคัญของการวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยมุ่งเน้นบริหารต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อาทิ การบริหารจัดการด้านพลังงาน โดยการติดตั้ง Solar Rooftop , การบริหารการจัดหาวัตถุดิบ โดยการเพิ่มจำนวน Supplier เพิ่มอำนาจในการต่อรองด้านราคา และทางเลือกในการหาวัตถุดิบที่เหมาะสม รวมถึงการลงทุนในการผลิตฟิลม์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก ซึ่งช่วยทดแทนการนำเข้าหรือซื้อจากผู้ขายภายนอก พร้อมการลงทุนในเครื่องจักรใหม่ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการผลิตสูงขึ้น
และคาดว่าในปี 2569 จะเห็นภาพการเติบโตที่ชัดเจนมากขึ้น ทั้งจากบริษัทย่อยในต่างประเทศที่ตลาดกลับมาฟื้นตัว และการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวต่อเนื่อง และบริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาข้อมูลธุรกิจต้นน้ำ ทั้งด้านการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี รวมถึง Strategic Partner หลายประเภทเพื่อสามารถควบคุมกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาลและแนวทาง ESG อย่างต่อเนื่อง โดยเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เพื่อสนับสนุนคุณภาพชีวิตและสุขภาพของชุมชน สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าแก่ผู้ถือหุ้น และขับเคลื่อนธุรกิจควบคู่กับความยั่งยืนทางสังคมในระยะยาว