Talk of The Town

โบรกฯ ประเมินน้ำท่วมภาคใต้ กดกำไรต่อหุ้นของ บจ.ไม่ถึง 1 บาท มองผลกระทบระยะสั้นเฉพาะพื้นที่


03 ธันวาคม 2568

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปัจจัยในประเทศตลาดเริ่มประเมินผลกระทบจากเหตุน้ำท่วมภาคใต้จะกระทบเศรษฐกิจราว 2.5-3 หมื่นลบ. คิดเป็น 0.16% ของ GDP อาจถ่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 4/68 อยู่บ้าง แต่มองเป็นปัจจัยระยะสั้นและเฉพาะพื้นที่

โบรกฯ ประเมินน้ำท่วมภาคใต้_S2T (เว็บ)_0.jpg

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดว่า เหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ผลกระทบที่ KSS รวบรวมเบื้องต้นต่อกำไรตลาดจำกัด (<1 บาท) ขณะที่สัญญาณ Fund Flows เป็นบวก

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินว่า น้ำท่วมหาดใหญ่(จ.สงขลา) ครั้งนี้สเกลความเสียหาย จำกัดอยู่ใน ระดับภูมิภาค (ไม่เท่าปี 54 ที่เสียหาย 1.44 ล้านล้านบาท) เพราะ เศรษฐกิจกรุงเทพฯ ใหญ่กว่าสงขลาถึง 25 เท่า แต่เสียโอกาสช่วง HIGH SEASON ท่องเที่ยวภาคใต้ในไตรมาส 4/68

โดยนักลงทุนคาดหวังให้ กนง. ลดดอกเบี้ย ในช่วงปลายปี 68 หรือต้นปี 69 สัก 0.25% เพื่อช่วยเหลือ SME และครัวเรือนในพื้นที่ประสบภัย (อ้างอิงสถิติปี 54-55 ที่ กนง. ลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง รวม 0.50%)

ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยโดนกดดันจากน้ำท่วม แต่คาดได้แรงหนุนจาก กนง.หาดใหญ่ เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของภาคใต้ (อันดับ 1 ของภาคใต้ / อันดับ 14 ของประเทศ) มีมูลค่า GDP ราว 2.51 แสนล้านบาท

ทั้งนี้หากสถานการณ์ยืดเยื้อ 1 เดือน คาดว่าจะเกิด ความเสียหายราว 10,000 – 15,000 ล้านบาท (หอการค้าฯ ประเมินความเสียหายเฉลี่ยวันละ 1.5 พันล้านบาท) ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วง HIGH SEASON ของการท่องเที่ยวภาคใต้ ซึ่งเป็นช่วงที่ควรจะโกยรายได้เข้าประเทศ ทำให้เสียโอกาสในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในงวดไตรมาสา 4/68

อย่างไรก็ตามในมุมมองเปรียบเทียบ แม้มีโอกาสจะ เสียหายหลักหมื่นล้าน แต่เมื่อเทียบกับน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่ WORLD BANK ประเมินไว้ถึง 1.44 ล้านล้านบาท ถือว่าสเกลความเสียหายครั้งนี้ยังจำกัดอยู่ในระดับภูมิภาค ไม่ใช่ระดับประเทศ

ขณะที่ในมุม SET INDEX น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 กดดันให้ SET INDEX ปรับตัวลงถึง -24% ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน เนื่องจากน้ำท่วมพื้นที่อุตสาหกรรมหลักและกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของประเทศ (เศรษฐกิจ กรุงเทพฯ ใหญ่กว่าสงขลาถึง 25 เท่า)

ดังนั้น แรงกดดันต่อ SET INDEX ในรอบนี้ คาดว่าจะเป็นเพียง แรงกดดัน ช่วงสั้นๆ เท่านั้น ไม่น่าจะรุนแรงถึงขั้นทำให้ตลาดพังทลายเหมือนปี 54 เนื่องจากพื้นที่เศรษฐกิจหลักของประเทศ (กทม. และ EEC) ยังดำเนินการได้ปกติ