“ซามูไร” ลั่นพร้อมหนุนไต้หวัน เกมภูมิรัฐศาสตร์ร้อนฉ่า มหาอำนาจโลกงัดกันหนัก หนุนทองคำกลับมาเป็นหลุมหลบภัยตัวจริง
ท่ามกลางแรงปะทะระหว่างจีน–สหรัฐ และท่าทีญี่ปุ่นที่พร้อมหนุนไต้หวัน หากเกิดความขัดแย้งทางทหาร ราคาทองคำถูกยกให้เป็นสินทรัพย์หลบภัยสำคัญ Inter Gold ชี้การปรับฐานช่วงนี้เป็นเพียงระยะสั้น และอาจเป็นจังหวะสะสมก่อนทองเดินหน้าทำ New High ในรอบใหม่
Inter Gold เผยว่า ท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจโลกในปัจจุบัน ทองคำยังคงรักษาบทบาทเป็นสินทรัพย์สำคัญที่ต้องจับตา ข่าวสารในสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI ซึ่งเป็นปัจจัยระยะสั้นที่ทำให้ราคาทองคำมีการปรับฐาน
ธีมหลักของทองคำในระยะยาวคือ การต่อสู้ระหว่างจีนและอเมริกา ที่ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและไม่ประนีประนอม ความไม่ลงรอยกันนี้ถูกมองว่าเป็นปัจจัยมหภาคสำคัญที่ผลักดันให้ทองคำเป็นขาขึ้น การปรับตัวลงของราคาทองคำที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เกิดจากตลาดหุ้นอเมริกาที่ลงแรงเกินไป และไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานของทองคำ ซึ่งทำให้ตลาดทองคำยังคงมีแนวโน้มที่จะทำ New High ได้ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงถูกมองว่าเป็นศัตรูกัน โดยทั้งสองประเทศต่างยื้อเวลาและซื้อเวลาออกไป เช่น ในกรณีของแร่หายาก (Rare Earth Minerals) ที่จีนเป็นผู้ผลิตและส่งออกหลัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรมกลาโหมของสหรัฐฯ ลักษณะของเกมนี้เป็นการยื้อเวลา ไม่ได้หมายความว่าทั้งสองประเทศดีกันแล้ว
นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังรวมถึงการบีบให้ประเทศพันธมิตร เช่น สวิตเซอร์แลนด์ ต้องยอมลงทุนในสหรัฐฯ มูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2028 เพื่อย้ายฐานการผลิตทองคำและอุตสาหกรรมยา/อุปกรณ์ทางการแพทย์กลับสู่ประเทศ ซึ่งเป็นความพยายามลดบทบาทของจีนในห่วงโซ่อุปทานโลก
ประเด็นที่รุนแรงขึ้นคือ การประกาศจุดยืนของญี่ปุ่นที่พร้อมจะตอบโต้ทางทหารเพื่อช่วยเหลือไต้หวัน หากจีนใช้มาตรการทางทหาร การประกาศนี้เป็นสัญญาณว่าสหรัฐฯ กำลังกดดันให้ประเทศในเอเชียเลือกข้าง และเป็นการตอกย้ำความขัดแย้งที่รุนแรงในทะเลจีนใต้ หากเกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว ทองคำจะวิ่งขึ้นอย่างรุนแรงและอาจหนักกว่าวิกฤตยูเครน–รัสเซีย
ขณะเดียวกัน รัฐบาลหลายประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ญี่ปุ่น ก็กำลังกระตุ้นเศรษฐกิจและอัดฉีดเงินเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นภาพรวมของนโยบายที่เกิดขึ้นทั่วโลก
จากภาพรวมที่ตอกย้ำธีมมหภาคขาขึ้น การปรับฐานของราคาทองคำที่เกิดขึ้นนี้จึงถือเป็น โอกาสในการเข้าซื้อ หรือ “ของดีราคาถูก” การปรับฐานนี้เป็นเพียงการลงระยะสั้น ซึ่งอาจกินเวลาราว 2–3 เดือน
Inter Gold เผยหากฟองสบู่ AI แตกจริงในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดร่วงแรง 20–30% ทองคำอาจร่วงลงตามได้ราว 5% แต่สถานการณ์นี้จะนำไปสู่การออกมาตรการช่วยเหลือจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เช่น การทำ QE หรือการลดดอกเบี้ย เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทต่าง ๆ ล้มละลาย ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะส่งผลบวกต่อทองคำในที่สุด
กลยุทธ์ที่แนะนำคือ ทยอยซื้อ (ถัว) ในบริเวณที่ได้เปรียบ โดยโซนที่น่าสนใจสำหรับการเก็บคือ 4,100 ลงมาถึง 4,000 ดอลลาร์ ในด้านการลงทุน นักลงทุนควรใช้เงินสดเต็มจำนวนในการซื้อทองคำ และหลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจสูง เพื่อให้สามารถรอคอยตามธีมระยะยาวได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องสภาพคล่อง พร้อมตั้งเป้าผลตอบแทนต่อปีแบบสมเหตุสมผลราว 10–20% ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่เป็นจริง มากกว่าการคาดหวังผลตอบแทนสูงเกินจริง เช่น 50% หรือ 100% ต่อปี ซึ่งอาจเป็นเพียงโชคชั่วคราว
ขณะที่นายธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เผยถึงสถานการณ์ราคาทองคำและผลกระทบทางเศรษฐกิจหลังยุติการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (Government Shutdown) ว่า แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเมื่อค่ำวันพุธที่ 12 พ.ย. 68 (ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ) เพื่อยุติภาวะชัตดาวน์ที่ยาวนานกว่า 43 วัน แต่ผลกระทบระยะสั้นและระยะกลางต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงราคาทองคำ ยังเป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
"การยุติการชัตดาวน์ครั้งนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากงบประมาณชั่วคราวครอบคลุมเพียง 3 ใน 12 ส่วนที่สภาคองเกรสต้องอนุมัติ และมีกำหนดจะสิ้นสุดในวันที่ 30 ม.ค. 69 ซึ่งหมายความว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะชัตดาวน์ขึ้นอีกครั้ง หากสภาคองเกรสยังไม่สามารถอนุมัติงบประมาณส่วนที่เหลือได้"
ปัจจัยหลักที่ยังสนับสนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้สหรัฐฯ จะกลับมาเปิดทำการ คือผลกระทบทางเศรษฐกิจ (Economic Aftereffects) ที่ตามมา โดยสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (CBO) ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศที่แท้จริง (Real GDP) จะลดลง 7 พันล้านดอลลาร์ ในกรณีที่ปิดหน่วยงานสี่สัปดาห์ และเพิ่มเป็น 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อปิดหน่วยงานนาน 42 วัน
นอกจากนี้ ตัวเลขขาดดุลประจำปีงบประมาณ 2025 ที่ CBO ประเมินไว้สูงถึง 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ ซึ่งสะท้อนแนวโน้มว่าหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ อาจเพิ่มขึ้นในระดับใกล้เคียงกัน จากระดับปัจจุบันที่ทะลุ 38 ล้านล้านดอลลาร์ ความเสี่ยงทางการคลังและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย” นายธนรัชต์ กล่าว
นายธนรัชต์ กล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ว่า การชัตดาวน์ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญบางส่วน เช่น รายงานการจ้างงานและดัชนีราคาผู้บริโภคประจำเดือนตุลาคม อาจมีความล่าช้าหรือไม่ถูกเผยแพร่ ซึ่งจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้หรือไม่
“ความไม่แน่นอนของข้อมูลและภาวะเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว ทำให้โพลสำรวจ CME FedWatch Tool ปรับลดคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมเหลือเพียง 43.6% ซึ่งลดลงอย่างมากจากเดิมที่ 88.2% ในเดือนก่อน และปรับเพิ่มคาดการณ์การคงดอกเบี้ยเป็น 56.4%” (ข้อมูล ณ วันที่ 17 พ.ย. 68)
ที่น่าสนใจคือ ข้อมูลที่มีอยู่บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่จาก ‘คลื่นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)’ โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการปลดพนักงานกว่า 153,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 20 ปี และยอดผู้ถูกเลิกจ้างสะสมตลอดทั้งปีทะลุ 1 ล้านราย ซึ่งสถานการณ์นี้สะท้อนถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจและความเปราะบางในตลาดแรงงานอย่างชัดเจน
ฮั่วเซ่งเฮง ประเมินแนวโน้มราคาทองคำระยะสั้นว่า ยังคงต้องติดตามการแถลงการณ์ของประธาน Fed เกี่ยวกับมุมมองการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเริ่มกลับมาเผยแพร่ได้ตามปกติ ซึ่งหากผลออกมาไม่ดี ก็อาจส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นไปทดสอบใกล้จุดสูงสุดเดิมที่ 4,381 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือประมาณ 67,000 บาท (คำนวณจากค่าเงินบาท 32.30 บาท)