รายงานพิเศษ : PCE แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ ลุย “กะลาปาล์ม-น้ำมันเมล็ดในปาล์มกึ่งบริสุทธิ์” ขยายฐานลูกค้า-สร้างรายได้ที่ยั่งยืน
บมจ.เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) ปรับกลยุทธ์ธุรกิจ ขยายตลาด "กะลาปาล์มคุณภาพสูง (PKS) และน้ำมันเมล็ดในปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RDBPKO)" หวังสร้างฐานรายได้และเพิ่มความยั่งยืนให้ธุรกิจ
แม้สถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มยังมีความผันผวน แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหารบมจ.เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) ทำให้รายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยผลการดำเนินงานมีการเติบโตของยอดขายที่โดดเด่น โดยมีรายได้จากการขายและการให้บริการรวมทั้งสิ้น 23,609.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 257.9 ล้านบาท
ซึ่ง นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานกลยุทธ์และพัฒนาองค์กร PCE ระบุ ในช่วงที่ผ่านมาแม้บริษัทจะเผชิญกับภาวะผันผวนของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มทั้งในด้านปริมาณผลผลิต และด้านราคา ซึ่งยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันถั่วเหลืองที่มีแนวโน้มลดต่ำลงในระยะสั้น ส่งผลให้ผู้ซื้อหันไปใช้น้ำมันถั่วเหลืองเพิ่มมากขึ้น แต่ผลงานของบริษัทยังเติบโตต่อเนื่อง
โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของยอดขายมาจากการขยายช่องทางการจำหน่ายของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะการรุกตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น กะลาปาล์มคุณภาพสูง (PKS) และน้ำมันเมล็ดในปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBDPKO) ซึ่งเริ่มจำหน่ายตั้งแต่ในไตรมาส 3 ของปี 2567 ซึ่งในปี 2568 นี้จะรับรู้รายได้เต็มปี และสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าแนวโน้มรายได้รวมในปีนี้จะแตะที่ระดับ 30,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2568 สะท้อนทิศทางการฟื้นตัวที่ชัดเจนของอัตรากำไรขั้นต้น โดยบริษัทฯมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ประมาณ 4.0% เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งจากไตรมาสที่ 2 ปี 2568 และช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 1.8% และ 3.0% ตามลำดับ
"การปรับตัวดีขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นเกิดจากต้นทุนวัตถุดิบและสินค้าคงเหลือที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ราคาขายปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะตลาด อีกทั้งสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรสูง (Product Mix) มีการเพิ่มขึ้น จึงส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ดี"
สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ช่วงไตรมาส 4/2568 ถึงไตรมาส 1/2569 ภาพรวมอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มจะเริ่มเข้าสู่ช่วง ชะลอตัวของผลผลิตตามฤดูกาล โดยเฉพาะในมาเลเซียและไทย ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันจากอุปทานส่วนเกินที่เกิดขึ้นในช่วงกลางปี
ขณะเดียวกันระดับสต็อกน้ำมันปาล์มของประเทศผู้ผลิตหลักมีแนวโน้มลดลง ส่งผลบวกต่อเสถียรภาพของราคาในตลาดโลก อย่างไรก็ตาม ราคายังคงมีความผันผวนจาก การแข่งขันกับน้ำมันพืชชนิดอื่น โดยเฉพาะน้ำมันถั่วเหลืองที่ยังคงล้นตลาด และสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่อาจส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบ ซึ่งส่งผลต่อความต้องการผสมไบโอดีเซล
ส่วนการต่อยอดธุรกิจ มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัท นิทไทย สเปเชียลตี้ ออย แอนด์ แฟตส์ จำกัด หรือ NISF ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ Intercontinental Specialty Fats Sdn. Bhd. บริษัทในเครือ The Nisshin OilliO Group, Ltd. ปัจจุบัน มีการดำเนินงานแล้ว
พร้อมบุกตลาดน้ำมันพืชคุณภาพสูงและไขมันชนิดพิเศษทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะรับรู้รายได้เต็มปีในปี 2569 ตั้งเป้ารายได้ไว้ทีประมาณ 1,000-1,500 ลบ. ต่อปี นับว่าเป็นก้าวสำคัญของ PCE ในการเข้าถึงนวัตกรรมการผลิตระดับโลก มาตรฐานสากล และเครือข่ายลูกค้าในตลาดพรีเมียม สนับสนุนการเติบโตของ PCE อย่างยั่งยืน