รายงานพิเศษ : TACC เติบโตนำหน้าเศรษฐกิจ ปรับเพิ่มเป้ารายได้ปีนี้ทะลุ 15% จากแรงหนุนเปิดตัวสินค้าใหม่-สาขาเพิ่ม
ถึงแม้เศรษฐกิจไทยปีนี้จะฟื้นตัวช้า แต่ไม่กระทบผลงาน บมจ.ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) สะท้อนจากการประกาศปรับเพิ่มเป้าหมายรายได้ปีนี้เป็นโตเกิน 15% จากเดิมคาดโต10% ผ่านกลยุทธ์การเปิดตัวสินค้าใหม่และการขยายสาขาของ 7-Eleven และ Non 7-Eleven
บมจ.ที.เอ.ซี.คอนซูเมอร์ (TACC) เป็นบริษัทที่น่าสนใจจากผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างโดดเด่น ซึ่งนายชัชชวี วัฒนสุข ประธานกรรมการบริหาร TACC เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ปรับเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมในปี 2568 ขึ้นเป็นเติบโตเกิน 15% จากปีก่อน สูงกว่าเป้าเดิมซึ่งวางไว้ที่ 10% หลังพบว่าภาพรวมธุรกิจในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันประสบความสำเร็จสูง ด้วยกลยุทธ์มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าด้านความเป็นอยู่ที่ดีให้มีคุณภาพ เพื่อธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน (Compounding Well Being Quality Value) และการให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการด้านต้นทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอย่างต่อเนื่อง
โดยปีนี้บริษัทฯ ได้ออกสินค้าใหม่ให้สอดรับเทรนด์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งในส่วนของกลุ่มธุรกิจ B2B (7-Eleven) และกลุ่มธุรกิจ B2C (Non 7-Eleven) โดยกลุ่มธุรกิจ B2B ในปี 2568 บริษัทฯ มุ่งพัฒนาสินค้า Core Menu และ New Menu รวมทั้งออกสินค้าใหม่ร่วมกันกับ 7-Eleven ในฐานะ Key Strategic Partner ไม่ว่าเป็นเครื่องดื่มเย็นในโถกด (Jet Spray) และ เครื่องดื่ม Non-Coffee Menu ใน All Cafe
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ B2C เน้นการเพิ่มกลุ่มลูกค้า Caf Business และผลักดันแบรนด์ของบริษัทฯ โดยมุ่งเน้นสินค้าสุขภาพ (Health & Wellness) และขยายฐานลูกค้ารายใหม่ ส่วนกลุ่ม Lifestyle & License Business มีการสร้างการรับรู้ของคาแรคเตอร์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานมากขึ้น
"บริษัทฯ ประกาศปรับเพิ่มเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปีนี้เป็นเติบโตเกิน 15% จากปีก่อน หลังพบว่ากลุ่มธุรกิจ B2B และ B2C เติบโตสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากการพัฒนาสินค้าใหม่ร่วมกับพันธมิตร 7-Eleven ที่สำคัญทาง 7-Eleven มีการเติบโตของปริมาณการบริโภคภายในประเทศ อีกทั้งยังมีการส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ เติบโตในทิศทางเดียวกัน "
ส่วนภาพรวมทิศทางธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายปี 2568 มีแนวโน้มสดใสต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของธุรกิจ B2B (7-Eleven) และ B2C (Non 7-Eleven) โดยบริษัทฯ มีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
สอดคล้องกับมุมมองของ บล.โกลเบล็ก ที่คาดการณ์แนวโน้มกำไร 3Q68 อ่อนตัวลง QoQ เนื่องจากปัจจัยฤดูกาลที่เป็นช่วงฤดูฝน ทำให้การบริโภคเครื่องดื่มชะลอลง แต่คาดผลประกอบการยังคงเติบโตต่อเนื่อง YoY จากแผนการขยายสาขาของร้าน 7-Eleven และร้านกาแฟพันธุ์ไทย รวมทั้งยังคงได้อานิสงส์ต่อเนื่องจากกระแสการบริโภคของเครื่องดื่มชาไทยและชาเขียว ซึ่งบริษัทเพิ่งวางจำหน่ายเพิ่มเติมสำหรับเครื่องดื่ม Pure Matcha ที่ All Café ย่างไรก็ตาม คาด %GPM ถูกกดดันต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนจาก ทั้งราคากาแฟและราคามัทฉะที่เร่งตัวสูงขึ้น
ดังนั้น บล.โกลเบล็กจึงได้ปรับประมาณการรายได้และกำไรปี 68 เพิ่มขึ้น 5-6% สู่ 2,266 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16%จากปีก่อน และ 306 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24%จากปีก่อน ตามลำดับ หลังจากกำไรช่วงครึ่งแรกของปี 68 คิดเป็น 53% ของประมาณการเดิม โดยช่วงที่เหลือของปี 68 คาดการเติบโตจะยังคงมาจากกลุ่ม 7-Eleven และ Non 7-Eleven คือ
1) แผนการขยายสาขา 7-Eleven ปีละราว 700 แห่ง 2) แผนขยายสาขาเชิงรุกของร้านกาแฟพันธุ์ไทยอีก 600 แห่งสู่สิ้นปี 68 ที่ 1,947 แห่ง อย่างไรก็ตาม เราปรับสมมติฐาน %GPM ลดลงสู่ 31.85% จากเดิม 32.5% สะท้อนราคาต้นทุนวัตถุดิบกาแฟและมัทฉะที่เร่งขึ้น ขณะเดียวกัน ปรับสมมติฐาน %SG&A/Sales ลดลงสู่ 15.3% จากเดิม 16.3% จากการควบคุม ค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งไม่มีค่าใช้จ่ายจากบริษัทย่อยที่ปิดดำเนินการไปแล้ว
และปรับราคาเหมาะสม TACC ปี 68 เพิ่มขึ้นสู่ 6.40 บาท (จากเดิม 6.05 บาท) โดยยังคงอิง Prospective PER ที่ 12.7x ณ ระดับ -0.5SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี แต่ปรับประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 68 เพิ่มขึ้นสู่ 0.50 บาท คำนวณเป็นราคาเหมาะสมใหม่ที่ 6.40 บาท มี Upside 29% และจ่ายปันผลในอัตรา 9-10% ต่อปี จึงคงคำแนะนำ“ซื้อ”