จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : SAFE เจาะกลุ่มลูกค้าห้องแล็บ จับมือกับโรงพยาบาลหรือศูนย์ IVF อื่น หวังดันรายได้เติบโตต่อเนื่อง


27 ตุลาคม 2568

บมจ.เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) ขยายตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าห้องแล็บ เน้นเป็นพาร์ทเนอร์กับโรงพยาบาลหรือศูนย์ IVF อื่นๆ หวังสร้างรายได้ที่เติบโตอย่างสม่ำเสมอ 

SAFE รายงานพิเศษ_S2T (เว็บ) (2)_0.jpg

ปัจจุบันขนาดของครอบครัวในประเทศไทยมีขนาดเล็กลงมากเมื่อเทียบกับในอดีต  ทำให้การขาดแคลนประชากรวัยเด็กและวัยทำงาน กำลังเป็นปัญหาของสังคมไทย ขณะที่จำนวนผู้สูงวัยก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  

การมีบุตรน้อยลง  มีสาเหตุมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว  ทำให้ไม่พร้อมในด้านฐานะการเงิน และยังมีสาเหตุมาจากการมีบุตรยาก ซึ่งเป็นผลจากสภาพร่างการของพ่อหรือแม่ที่ไม่สมบูรณ์  ดังนั้นสำหรับผู้ที่ต้องการมีบุตร การคาดหวังจาการทำเด็กหลอดแก้วมีมากขึ้น  ซึ่งสอดคล้องกับจุดแข็งของ บมจ.เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) ผู้ให้บริการทางการแพทย์เฉพาะทางด้านการรักษาผู้มีบุตรยากครบวงจร ด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ที่นำสมัย มีมาตรฐานและความปลอดภัย

นพ. วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SAFE ได้ระบุถึง กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทในอนาคต จะมาจาก 3 แนวทางหลักได้แก่ 

1. รูปแบบธุรกิจคู่ขนาน (Dual Business Model):  โดยบริษัทมีทั้งบริษัทแม่ที่เป็นคลินิกทำเด็กหลอดแก้ว/การแช่แข็งไข่ และมีบริษัทลูกที่ทำหน้าที่เป็นบริษัทแล็บ (บริษัทรับทำแล็บ) ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีแผนจะเน้นการขยายตลาดห้องแล็บ  โดยเน้นการเป็นพาร์ทเนอร์กับโรงพยาบาลหรือศูนย์ IVF อื่นๆ  ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทอย่างสม่ำเสมอ 

โดยตั้งเป้าหมายการเพิ่มสัดส่วนในการสร้างรายได้ให้กับบริษัท เป็น 30%  จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 20%  โดยรายได้ส่วนใหญ่ยังมากจากธุรกิจทำเด็กหลอดแก้ว/การแช่แข็งไข่ 

2. การขยายความร่วมมือกับภาครัฐ (Public Private Partnership - PPP): โดยบริษัทมีโครงการที่จะเข้าไปตั้งศูนย์แล็บหรือศูนย์แช่แข็งไข่ให้กับโรงพยาบาลรัฐบาลในรูปแบบ PPP  และยังสอดคล้องกับแนวคิดของ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ สปสช. ที่จะขยายบริการให้คนใช้บัตรทองสามารถใช้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากได้  ซึ่งจะทำให้ความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้น

3. การมุ่งเน้นคุณภาพ ความปลอดภัย และนวัตกรรม  โดยบริษัทใช้เทคโนโลยีในการคัดกรองก่อนที่จะมีการปฏิสนธิ เพื่อตรวจหาโรคทางพันธุกรรมหรือโรคอื่น ๆ ที่สามารถถ่ายทอดสู่ลูกได้ เช่น ดาวน์ซินโดรม หรือภาวะพิการทางระบบประสาท การคัดกรองเหล่านี้ช่วยให้คนไข้ได้ลูกที่มีสุขภาพแข็งแรงมากขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น 

และบริษัทยังมีกระบวนการที่แม่นยำ , มีเสถียร (stable), และสามารถทำซ้ำได้เหมือนเดิม  ซึ่งส่งผลให้การทำประสบผลสำเร็จมากขึ้น ปัจจุบัน อัตราความสำเร็จของ SAFE Group อยู่ที่ 85% ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของตลาดโลกที่ประมาณ 70%

“เชื่อว่าธุรกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากการสนับสนุนจากภาครัฐเกี่ยวกับปัญหาประชากรจะสร้างดีมานด์เพิ่มขึ้น โดยความต้องการในการทำเด็กหลอดแก้วของประเทศไทยควรอยู่ที่ประมาณ 50,000-60,000 ต่อปี”

ส่วนปัจจัยบวกรวมทั้งความท้าทายในธุรกิจผู้บริหาร SAFE  มองว่า ปัจจัยภายในที่ขับเคลื่อนการดำเนินงานและสร้างความได้เปรียบมาจาก

• ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญยาวนาน  โดยบริษัทอยู่ในธุรกิจ IVF (การทำเด็กหลอดแก้ว) มาเป็นเวลานานถึง 18 ปี  สะท้อนถึงความมั่นคงและความเข้าใจในอุตสาหกรรม

• อัตราความสำเร็จที่โดดเด่น: SAFE Group มีอัตราความสำเร็จในการรักษาอยู่ที่ 85%  ซึ่งเป็นระดับต้น ๆ ของประเทศไทยและของโลก (เมื่อเทียบกับอัตราเฉลี่ยของตลาดโลกที่ประมาณ 70%)

• การมุ่งเน้นความปลอดภัยและคุณภาพ: บริษัทให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัย โดยมีการดำเนินการเพื่อป้องกันการติดเชื้อ การปนเปื้อนของไข่และอสุจิ รวมถึงการมั่นใจใน sourcing (การสรรหา) น้ำยาและยาที่ดีที่สุดที่หาได้ในตลาด

• กระบวนการที่แม่นยำและเสถียร (Process): มีกระบวนการที่แม่นยำ (precise), เสถียร (stable), และสามารถทำซ้ำได้เหมือนเดิม ซึ่งทำให้ผลสำเร็จและความประทับใจของคนไข้สูงขึ้น

• นวัตกรรมการคัดกรองความเสี่ยง: มีการใช้นวัตกรรมในการ คัดกรอง เพื่อตรวจหาโรคทางพันธุกรรม (จีน) หรือโรคอื่น ๆ ที่สามารถถ่ายทอดสู่ลูกได้ (เช่น ดาวน์ซินโดรม หรือภาวะพิการทางระบบประสาท) ซึ่งช่วยให้คู่รักสามารถ ลดความเสี่ยง ที่บุตรจะเกิดมาอย่างไม่แข็งแรง และได้ลูกที่มีสุขภาพแข็งแรงมากขึ้น

ส่วนปัจจัยภายนอกที่เป็นความท้าทายในปัจจุบันมาจาก

• ปัจจัยกดดันด้านสังคมและประชากร: แนวโน้มที่คนไม่ต้องการมีบุตรเพิ่มขึ้น เนื่องจากหลายคนเลือกที่จะไม่แต่งงาน หรือแต่งงานแล้วแต่ต้องการใช้ชีวิตส่วนตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยกดดันเชิงลบต่อดีมานด์

• การหดตัวของตลาดต่างชาติ (นักท่องเที่ยวจีน):  จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอย่างมาก  ส่งผลกระทบต่อทั้งธุรกิจ Medical Tourism และทำให้ยอดขายรวมต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้เล็กน้อย

สำหรับปัจจัยภายนอกที่สนับสนุนการเติบโตในอนาคต  ได้แก่  รัฐบาลได้ประกาศให้เรื่อง การเพิ่มประชากร เป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากหากจำนวนประชากรไทยลดลงเหลือครึ่งหนึ่งในอีก 30 ปีข้างหน้า และมีแต่ผู้สูงอายุ จะส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของประเทศ การสนับสนุนนี้คาดว่าจะสร้างดีมานด์ให้ตลาดเติบโต

แรงจูงใจจากรัฐบาลและเทรนด์โลก: หลายประเทศทั่วโลก (เช่น สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, จีน, ยุโรปเกือบทั้งหมด) เริ่มให้การสนับสนุนด้านการเงินหรือสิทธิประโยชน์ (เช่น สิทธิวันลา, สวัสดิการโรงเรียน) เพื่อกระตุ้นให้คนอยากมีบุตร หากรัฐบาลไทยเข้ามาช่วยเหลือในลักษณะเดียวกัน ก็จะสร้างดีมานด์ในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ