ชำแหละไฟลิ่ง MRDIYT ผงะ! หุ้นไม่ติดไซเรนท์ฯ 1.4 พันล้านหุ้น พบผถห.ใหญ่นำหุ้นไปตึ๊งกว่า 553 ล้านหุ้น
อีกหนึ่งหุ้น IPO มหาชนที่น่าจับตาอย่าง บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MRDIYT ที่จะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 655,000,000 หุ้น โดยมีราคาเสนอขายเบื้องต้น 8.30 - 8.60 บาทต่อหุ้น กำหนดการจองซื้อสำหรับนักลงทุนรายย่อย วันที่ 20 - 22 ต.ค. 2568
สำหรับการกำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นดังกล่าว ข้อมูลแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) พบว่า พิจารณากำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่ไตรมาสที่3 ของปี 2567 ถึงไตรมาสที่2 ของปี2568) ซึ่งเท่ากับ 2,162.9 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดจำนวน 6,017,097,000 หุ้น (บนสมมติฐานว่ามีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งหมดจำนวน 420,000,000 หุ้น) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share) เท่ากับ 0.36 บาทต่อหุ้น และอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price toEarnings Ratio : P/E) ประมาณ 23.09 – 23.92 เท่า
โดยการเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 420,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 6.98% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้หรือคิดเป็นไม่เกิน 6.91% ในกรณีที่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะเสนอขายให้กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อยของบริษัทฯ ทั้งหมด (Fully Diluted)
และหุ้นสามัญที่เสนอขายโดย MDIH (Singapore) Pte. Ltd. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน235,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 3.91% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้หรือคิดเป็นไม่เกิน 3.87% ในกรณีที่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะเสนอขายให้กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อยของบริษัทฯ ทั้งหมด (Fully Diluted)
อย่างไรก็ตามข้อมูลไฟลิ่งยังระบุอีกว่า สัดส่วนหุ้นของ “ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร” ที่ไม่ติด Silent Period
จำนวน 1,497,719,274 หุ้น คิดเป็น 24.89% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้
ข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดให้บริษัทฯ ต้องสั่งห้ามผู้ถือหุ้นตามที่กำหนดนำหุ้นเป็นจำนวนรวมกันเท่ากับ 55% ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้และหลักทรัพย์อื่นที่อาจแปลงสภาพแห่งสิทธิเป็นหุ้นตามอัตราส่วนของหุ้นที่บุคคลดังกล่าวถูกสั่งห้ามขาย ออกขายภายในกำหนดระยะเวลา 1 ปีนับแต่วันที่หุ้นของบริษัทฯ เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
โดยภายหลังจากวันที่หุ้นของบริษัทฯ ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครบกำหนดระยะเวลา 6 เดือน บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายหุ้นสามารถขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ถูกสั่งห้ามขายได้ในจำนวน 25% ของจำนวนหุ้นหรือหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ถูกสั่งห้ามขาย และสามารถขายส่วนที่เหลือทั้งหมดได้เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 1 ปีสำหรับจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิซึ่งออกให้แก่กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่ได้รับการเสนอขาย (ESOP Warrants) ที่ต้องถูกสั่งห้ามออกขายตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ มีจำนวนทั้งหมด 1,435,995หน่วย หรือคิดเป็น 2.40% ของจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมด
นอกจากนี้ผู้มีส่วนร่วมในการบริหารตามนิยามภายใต้ข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ (“ผู้ถือหุ้นที่มีส่วนร่วมในการบริหาร”) และผู้ถือหุ้นปัจจุบันรายอื่นของบริษัทฯ ได้เข้าทำหนังสือข้อตกลงกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายและผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ (Initial Purchasers) (“หนังสือข้อตกลงห้ามจำหน่าย”) โดยตกลงที่จะไม่เข้าทำธุรกรรมใด ๆ ในหรือเกี่ยวกับหุ้นของตนในบริษัทฯ (“เงื่อนไขของหนังสือข้อตกลงห้ามจำหน่าย”)
เว้นแต่เป็นการทำธุรกรรมที่เข้าเงื่อนไขตามข้อยกเว้นที่ได้กำหนดไว้ในหนังสือข้อตกลงห้ามจำหน่ายดังกล่าว เช่น (ก) การที่นายจอมพงษ์ประสงค์ที่จะขายหุ้นสามัญเดิมของบริษัทฯ ในราคาเดียวกับราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้เป็นจำนวนไม่เกิน 245,000,000หุ้นผ่านการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Trade Report – Big Lot) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทฯเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
(ข) การที่นายจอมพงษ์ได้นำหุ้นของบริษัทฯ ที่ตนถือจำนวน 553,733,450 หุ้น ไปจำนำเพื่อเป็นหลักประกันสำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล
หรือ (ค) การที่ผู้ถือหุ้นที่เข้าทำหนังสือข้อตกลงห้ามจำหน่ายรายใดอาจดำเนินการแปลงหุ้นสามัญของบริษัทฯ ที่ตนถืออยู่เป็นใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (NVDR) ในอนาคต เป็นต้น)
บิ๊กล็อตวันแรกเข้าเทรดราคา IPO
ณ วันที่ของเอกสารฉบับนี้ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ได้แก่กลุ่มนายจอมพงษ์ ซึ่งถือหุ้นของบริษัทฯ จำนวน1,230,518,784 หุ้น หรือคิดเป็นประมาณ 21.98% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ณ วันที่มีการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกในครั้งนี้
ได้แสดงความประสงค์ที่จะขายหุ้นสามัญเดิมของบริษัทฯ(ซึ่งหุ้นจำนวนดังกล่าวไม่ใช่หุ้นที่อยู่ภายใต้ระยะเวลาการห้ามขายหุ้น (Silent Period)) ในราคาเดียวกับราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ เป็นจำนวนรวมกันไม่เกิน 245,000,000 หุ้นหรือคิดเป็นประมาณไม่เกิน 4.07% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ณ วันที่มีการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้
โดยผ่านการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Trade Report – Big Lot) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) ในวันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทฯ เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แก่ Mr. Tan Yu Yeh Mr. Tan Yu Wei และผู้ถือหุ้นหนึ่งรายในกลุ่มผู้ถือหุ้นสัญชาติมาเลเซียอื่น จำนวน 118,235,000 หุ้น 53,930,100 หุ้น และ 72,834,900 หุ้น ตามลำดับ หรือคิดเป็น 1.96%, 0.90% และ 1.21% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ณ วันที่มีการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ตามลำดับ
โดยการขายหุ้นสามัญเดิมดังกล่าวไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้และจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อโครงสร้างผู้ถือหุ้นและการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ
พบหุ้นค้ำมาร์จิ้น
นอกจากนี้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 นายจอมพงษ์ได้นำหุ้นของตน จำนวน 553,733,450 หุ้น หรือคิดเป็นประมาณ 9.2% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ซึ่งหุ้นจำนวนดังกล่าวไม่ใช่หุ้นที่อยู่ภายใต้ระยะเวลาการห้ามขายหุ้น (Silent Period) ไปจำนำเพื่อเป็นหลักประกันสำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล
ทั้งนี้การผิดนัดภายใต้ข้อตกลงทางการเงินดังกล่าว อาจส่งผลให้ผู้ให้กู้ใช้สิทธิในการบังคับหุ้นที่จำนำไว้และนำหุ้นดังกล่าวออกจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทฯ ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดลง
เปิดนโยบายการจ่ายเงินปันผล
บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ กำหนดไว้โดยมีเงื่อนไขว่าการจ่ายเงินปันผลจะต้องไม่เกินจำนวนกำไรสะสมเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ทั้งนี้การพิจารณาการจ่ายเงินปันผลและอัตราเงินปันผลโดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ภาวะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน กระแสเงินสด เงินทุนหมุนเวียน การลงทุนในอนาคต และการขยายขนาดธุรกิจของบริษัทฯ ตลอดจนสภาวะเศรษฐกิจมหภาค ข้อกำหนดทางกฎหมาย ภาระหนี้สิน เงื่อนไขและข้อจำกัดตามที่กำหนดในสัญญากู้ยืมเงิน และปัจจัยอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการเห็นว่าสมควรและเหมาะสม
ทั้งนี้การจ่ายเงินปันผลจะต้องได้รับมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น เว้นแต่เป็นการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลซึ่งคณะกรรมการอาจประกาศจ่ายเงินปันผลได้เป็นครั้งคราวเมื่อเห็นว่าบริษัทฯ มีผลกำไรสมควรพอที่จะทำเช่นนั้น โดยคณะกรรมการจะต้องรายงานให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นทราบในการประชุมผู้ถือหุ้นคราวต่อไป
มีสาขากว่าพันแห่ง
บริษัทฯ จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่12 มิถุนายน 2562 ซึ่งได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดเมื่อวันที่28 พฤศจิกายน 2566 โดยบริษัทฯ เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไปที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย
ในปี2567 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 8.8% เมื่อพิจารณาจากรายได้ทั้งนี้อ้างอิงตามรายงานการวิจัยตลาดอิสระที่จัดทำโดยบริษัท ฟรอส์ท แอนด์ซัลลิวัน (ไทยแลนด์) จำกัด (“Frost & Sullivan”) (“รายงานวิจัยตลาดของ Frost & Sullivan”)
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไปที่ใหญ่ที่สุดเมื่อพิจารณาเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกที่มีสาขาจำนวนมาก (Chain Retailer) (“ผู้ประกอบการ ChainRetailer”) โดยในปี 2567 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดเมื่อพิจารณาเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ Chain Retailer ประมาณ 39.2% เมื่อพิจารณาจากรายได้ทั้งนี้อ้างอิงจากรายงานวิจัยตลาดของ Frost & Sullivan โดยร้าน “MR. D.I.Y.” สาขาแรกในประเทศไทยเปิดในปี2559
ทั้งนี้ณ วันที่30 มิถุนายน 2568 บริษัทฯ มีร้านค้า 1,027 สาขาครอบคลุม สาขาครอบคลุมทั้งหมด 77 จังหวัด ทั่วทุกภูมิภาคทั่วไทย โดยสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์“MR. D.I.Y.” ในกลุ่มผู้บริโภคในประเทศไทยและตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาค คือ การที่แบรนด์ “MR. D.I.Y.” ได้รับรางวัล Brand of the Year ซึ่งเป็นรางวัลของภูมิภาคจาก The World Branding Award ในปี 2564 และ 2565 และบริษัทฯ ได้รับรางวัล “No. 1 Brand Thailand Award2023” ในหมวดร้านค้าปลีกเฉพาะอย่าง (Specialty Store) จาก Marketeer Magazine และ Marketeer Online ซึ่งเป็นหนึ่งในสื่อการตลาดชั้นนำของประเทศไทย
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับ 2 รางวัล ติดต่อกัน 2 ปีในปี2567 และ 2568 ในงานThailand’s Most Admired Brand Awards ในหมวด Modern Trade Channel สำหรับ “Home Improvement Store”และรางวัลพิเศษ “Brand Star Award” สำหรับผลงานดีเด่นในด้านกิจกรรมการตลาดและการส่งเสริมการขาย รางวัลดังกล่าวมอบโดยนิตยสาร BrandAge ซึ่งเป็นนิตยสารธุรกิจชั้นนำของประเทศไทย เพื่อยกย่องแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับรางวัล Specialty Store of the Year – Thailand ติดต่อกัน 2 ปีในงาน Retail AsiaAwards ประจำปี2567 และ 2568 และรางวัล Store Design of the Year (Large) – Thailand Award ในงาน Retail AsiaAwards ประจำปี2568 ซึ่งจัดโดยนิตยสาร Retail Asia
เปิดผลประกอบการย้อนหลัง
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่31 ธันวาคม 2565 ถึงปีสิ้นสุดวันที่31 ธันวาคม 2567 รายได้ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 9,941.2 ล้านบาท เป็น 16,214.4 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี(CAGR) 27.7% และสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2567 ถึงงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2568 รายได้ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 7,566.7 ล้านบาทเป็น 9,470.7 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 25.2%
ขณะที่กำไรสำหรับปีสิ้นสุดวันที่31 ธันวาคม 2565 ถึงปีสิ้นสุดวันที่31 ธันวาคม 2567 ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 1,051.2ล้านบาท เป็น 1,780.3 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี(CAGR) 30.1% และสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ถึงงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2568 กำไรสำหรับงวดของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 793.7ล้านบาท เป็น 1,176.4 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 48.2%
อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
อัตราส่วนเงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่31 ธันวาคม 2565 2566 และ 2567 และสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2568 เท่ากับ 0.25 เท่า 0.85 เท่า 0.55 เท่า และ 0.37 เท่า ตามลำดับ การเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนเงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจากวันที่31 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่31 ธันวาคม 2566
มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินเพื่อจ่ายเงินปันผล เงินทุนหมุนเวียน และการรีไฟแนนซ์(Refinance) เงินกู้ยืมจากผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงขึ้นมากกว่าการเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้น การลดลงของอัตราส่วนเงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ถึงงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2568 โดยหลักมีสาเหตุมาจากการลดลงของเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินจากการชำระวงเงินกู้หมุนเวียนและการเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้น
ยอดนิยม
_0.jpg)
KBANK แจงงบ 9 เดือนปี 68 ฟันกำไร 3.92 หมื่นลบ. โต 1.16% ค่าใช้จ่ายลด-รายได้ไม่ใช่ดอกเบี้ยโต
_0.jpg)
THAI ราคาดิ่งเกือบนิวโลว์ หลังหวนกลับมาซื้อขาย โบรกฯชี้หมดลุ้นเข้าSET50/SET100
%20copy_0.jpg)
หุ้นกลุ่มโรงแรมได้เฮ! รัฐจ่อออกมาตรการภาษีหนุน ปรับปรุงโรงแรม หักรายจ่ายได้ 2 เท่า
%20copy_0.jpg)
PTTGC ถึงรอบการฟื้นตัว? โบรกฯ คาดไตรมาส 3/68 ขาดทุนลดลง หลังไม่มีผลขาดทุนด้อยค่าจำนวนมาก
_0.jpg)