Talk of The Town

ชำแหละไฟลิ่ง MRDIYT ผงะ! หุ้นไม่ติดไซเรนท์ฯ 1.4 พันล้านหุ้น พบผถห.ใหญ่นำหุ้นไปตึ๊งกว่า 553 ล้านหุ้น


21 ตุลาคม 2568

อีกหนึ่งหุ้น IPO มหาชนที่น่าจับตาอย่าง บริษัท มิสเตอร์. ดี.ไอ.วาย. โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MRDIYT ที่จะเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 655,000,000 หุ้น โดยมีราคาเสนอขายเบื้องต้น 8.30 - 8.60 บาทต่อหุ้น กำหนดการจองซื้อสำหรับนักลงทุนรายย่อย วันที่ 20 - 22 ต.ค. 2568

ชำแหละไฟลิ่ง MRDIYT_S2T (เว็บ) copy_0.jpg

สำหรับการกำหนดช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นดังกล่าว ข้อมูลแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) พบว่า พิจารณากำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่ไตรมาสที่3 ของปี 2567 ถึงไตรมาสที่2 ของปี2568) ซึ่งเท่ากับ 2,162.9 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดจำนวน 6,017,097,000 หุ้น (บนสมมติฐานว่ามีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งหมดจำนวน 420,000,000 หุ้น) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share) เท่ากับ 0.36 บาทต่อหุ้น และอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price toEarnings Ratio : P/E) ประมาณ 23.09 – 23.92 เท่า

โดยการเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก แบ่งเป็น หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 420,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 6.98% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้หรือคิดเป็นไม่เกิน 6.91% ในกรณีที่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะเสนอขายให้กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อยของบริษัทฯ ทั้งหมด (Fully Diluted) 

และหุ้นสามัญที่เสนอขายโดย MDIH (Singapore) Pte. Ltd. ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน235,000,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกิน 3.91% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้หรือคิดเป็นไม่เกิน 3.87% ในกรณีที่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะเสนอขายให้กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ และ/หรือบริษัทย่อยของบริษัทฯ ทั้งหมด (Fully Diluted)

อย่างไรก็ตามข้อมูลไฟลิ่งยังระบุอีกว่า สัดส่วนหุ้นของ “ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร” ที่ไม่ติด Silent Period

จำนวน 1,497,719,274 หุ้น คิดเป็น 24.89% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้

ข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดให้บริษัทฯ ต้องสั่งห้ามผู้ถือหุ้นตามที่กำหนดนำหุ้นเป็นจำนวนรวมกันเท่ากับ 55% ของทุนชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้และหลักทรัพย์อื่นที่อาจแปลงสภาพแห่งสิทธิเป็นหุ้นตามอัตราส่วนของหุ้นที่บุคคลดังกล่าวถูกสั่งห้ามขาย ออกขายภายในกำหนดระยะเวลา 1 ปีนับแต่วันที่หุ้นของบริษัทฯ เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 

โดยภายหลังจากวันที่หุ้นของบริษัทฯ ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครบกำหนดระยะเวลา 6 เดือน บุคคลที่ถูกสั่งห้ามขายหุ้นสามารถขายหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ถูกสั่งห้ามขายได้ในจำนวน 25% ของจำนวนหุ้นหรือหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ถูกสั่งห้ามขาย และสามารถขายส่วนที่เหลือทั้งหมดได้เมื่อครบกำหนดระยะเวลา 1 ปีสำหรับจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิซึ่งออกให้แก่กรรมการ ผู้บริหารและพนักงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยของบริษัทฯ ที่ได้รับการเสนอขาย (ESOP Warrants) ที่ต้องถูกสั่งห้ามออกขายตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ มีจำนวนทั้งหมด 1,435,995หน่วย หรือคิดเป็น 2.40% ของจำนวนใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งหมด

นอกจากนี้ผู้มีส่วนร่วมในการบริหารตามนิยามภายใต้ข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ฯ (“ผู้ถือหุ้นที่มีส่วนร่วมในการบริหาร”) และผู้ถือหุ้นปัจจุบันรายอื่นของบริษัทฯ ได้เข้าทำหนังสือข้อตกลงกับผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายและผู้ซื้อหุ้นเบื้องต้นในต่างประเทศ (Initial Purchasers) (“หนังสือข้อตกลงห้ามจำหน่าย”) โดยตกลงที่จะไม่เข้าทำธุรกรรมใด ๆ ในหรือเกี่ยวกับหุ้นของตนในบริษัทฯ (“เงื่อนไขของหนังสือข้อตกลงห้ามจำหน่าย”)

เว้นแต่เป็นการทำธุรกรรมที่เข้าเงื่อนไขตามข้อยกเว้นที่ได้กำหนดไว้ในหนังสือข้อตกลงห้ามจำหน่ายดังกล่าว เช่น  (ก) การที่นายจอมพงษ์ประสงค์ที่จะขายหุ้นสามัญเดิมของบริษัทฯ ในราคาเดียวกับราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้เป็นจำนวนไม่เกิน 245,000,000หุ้นผ่านการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Trade Report – Big Lot) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทฯเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 

(ข) การที่นายจอมพงษ์ได้นำหุ้นของบริษัทฯ ที่ตนถือจำนวน 553,733,450 หุ้น ไปจำนำเพื่อเป็นหลักประกันสำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล 

หรือ (ค) การที่ผู้ถือหุ้นที่เข้าทำหนังสือข้อตกลงห้ามจำหน่ายรายใดอาจดำเนินการแปลงหุ้นสามัญของบริษัทฯ ที่ตนถืออยู่เป็นใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิงไทย (NVDR) ในอนาคต เป็นต้น)

บิ๊กล็อตวันแรกเข้าเทรดราคา IPO

ณ วันที่ของเอกสารฉบับนี้ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ได้แก่กลุ่มนายจอมพงษ์ ซึ่งถือหุ้นของบริษัทฯ จำนวน1,230,518,784 หุ้น หรือคิดเป็นประมาณ 21.98% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ณ วันที่มีการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรกในครั้งนี้ 

ได้แสดงความประสงค์ที่จะขายหุ้นสามัญเดิมของบริษัทฯ(ซึ่งหุ้นจำนวนดังกล่าวไม่ใช่หุ้นที่อยู่ภายใต้ระยะเวลาการห้ามขายหุ้น (Silent Period)) ในราคาเดียวกับราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ เป็นจำนวนรวมกันไม่เกิน 245,000,000 หุ้นหรือคิดเป็นประมาณไม่เกิน 4.07% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ณ วันที่มีการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ 

โดยผ่านการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Trade Report – Big Lot) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) ในวันแรกที่หุ้นสามัญของบริษัทฯ เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้แก่ Mr. Tan Yu Yeh Mr. Tan Yu Wei และผู้ถือหุ้นหนึ่งรายในกลุ่มผู้ถือหุ้นสัญชาติมาเลเซียอื่น จำนวน 118,235,000 หุ้น 53,930,100 หุ้น และ 72,834,900 หุ้น ตามลำดับ หรือคิดเป็น 1.96%, 0.90% และ 1.21% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ณ วันที่มีการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ตามลำดับ 

โดยการขายหุ้นสามัญเดิมดังกล่าวไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้และจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อโครงสร้างผู้ถือหุ้นและการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ 

พบหุ้นค้ำมาร์จิ้น

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 นายจอมพงษ์ได้นำหุ้นของตน จำนวน 553,733,450 หุ้น หรือคิดเป็นประมาณ 9.2% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้  ซึ่งหุ้นจำนวนดังกล่าวไม่ใช่หุ้นที่อยู่ภายใต้ระยะเวลาการห้ามขายหุ้น (Silent Period) ไปจำนำเพื่อเป็นหลักประกันสำหรับข้อตกลงทางการเงินส่วนบุคคล 

ทั้งนี้การผิดนัดภายใต้ข้อตกลงทางการเงินดังกล่าว อาจส่งผลให้ผู้ให้กู้ใช้สิทธิในการบังคับหุ้นที่จำนำไว้และนำหุ้นดังกล่าวออกจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทฯ ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดลง

เปิดนโยบายการจ่ายเงินปันผล

บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม หลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและข้อบังคับของบริษัทฯ กำหนดไว้โดยมีเงื่อนไขว่าการจ่ายเงินปันผลจะต้องไม่เกินจำนวนกำไรสะสมเฉพาะกิจการของบริษัทฯ ทั้งนี้การพิจารณาการจ่ายเงินปันผลและอัตราเงินปันผลโดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ภาวะทางการเงิน ผลการดำเนินงาน กระแสเงินสด เงินทุนหมุนเวียน การลงทุนในอนาคต และการขยายขนาดธุรกิจของบริษัทฯ ตลอดจนสภาวะเศรษฐกิจมหภาค ข้อกำหนดทางกฎหมาย ภาระหนี้สิน เงื่อนไขและข้อจำกัดตามที่กำหนดในสัญญากู้ยืมเงิน และปัจจัยอื่น ๆ ตามที่คณะกรรมการเห็นว่าสมควรและเหมาะสม 

ทั้งนี้การจ่ายเงินปันผลจะต้องได้รับมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น เว้นแต่เป็นการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลซึ่งคณะกรรมการอาจประกาศจ่ายเงินปันผลได้เป็นครั้งคราวเมื่อเห็นว่าบริษัทฯ มีผลกำไรสมควรพอที่จะทำเช่นนั้น โดยคณะกรรมการจะต้องรายงานให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นทราบในการประชุมผู้ถือหุ้นคราวต่อไป

มีสาขากว่าพันแห่ง

บริษัทฯ จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่12 มิถุนายน 2562 ซึ่งได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดเมื่อวันที่28 พฤศจิกายน 2566 โดยบริษัทฯ เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไปที่ใหญ่ที่สุดและเติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทย 

ในปี2567 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 8.8% เมื่อพิจารณาจากรายได้ทั้งนี้อ้างอิงตามรายงานการวิจัยตลาดอิสระที่จัดทำโดยบริษัท ฟรอส์ท แอนด์ซัลลิวัน (ไทยแลนด์) จำกัด (“Frost & Sullivan”) (“รายงานวิจัยตลาดของ Frost & Sullivan”) 

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังเป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกอุปกรณ์ตกแต่งบ้านและสินค้าไลฟ์สไตล์ทั่วไปที่ใหญ่ที่สุดเมื่อพิจารณาเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกที่มีสาขาจำนวนมาก (Chain Retailer) (“ผู้ประกอบการ ChainRetailer”) โดยในปี 2567 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาดเมื่อพิจารณาเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการ Chain Retailer ประมาณ 39.2% เมื่อพิจารณาจากรายได้ทั้งนี้อ้างอิงจากรายงานวิจัยตลาดของ Frost & Sullivan โดยร้าน “MR. D.I.Y.” สาขาแรกในประเทศไทยเปิดในปี2559 

ทั้งนี้ณ วันที่30 มิถุนายน 2568 บริษัทฯ มีร้านค้า 1,027 สาขาครอบคลุม สาขาครอบคลุมทั้งหมด 77 จังหวัด ทั่วทุกภูมิภาคทั่วไทย โดยสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์“MR. D.I.Y.” ในกลุ่มผู้บริโภคในประเทศไทยและตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาค คือ การที่แบรนด์ “MR. D.I.Y.” ได้รับรางวัล Brand of the Year ซึ่งเป็นรางวัลของภูมิภาคจาก The World Branding Award ในปี 2564 และ 2565 และบริษัทฯ ได้รับรางวัล “No. 1 Brand Thailand Award2023” ในหมวดร้านค้าปลีกเฉพาะอย่าง (Specialty Store) จาก Marketeer Magazine และ Marketeer Online ซึ่งเป็นหนึ่งในสื่อการตลาดชั้นนำของประเทศไทย 

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับ 2 รางวัล ติดต่อกัน 2 ปีในปี2567 และ 2568 ในงานThailand’s Most Admired Brand Awards ในหมวด Modern Trade Channel สำหรับ “Home Improvement Store”และรางวัลพิเศษ “Brand Star Award” สำหรับผลงานดีเด่นในด้านกิจกรรมการตลาดและการส่งเสริมการขาย รางวัลดังกล่าวมอบโดยนิตยสาร BrandAge ซึ่งเป็นนิตยสารธุรกิจชั้นนำของประเทศไทย เพื่อยกย่องแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับรางวัล Specialty Store of the Year – Thailand ติดต่อกัน 2 ปีในงาน Retail AsiaAwards ประจำปี2567 และ 2568 และรางวัล Store Design of the Year (Large) – Thailand Award ในงาน Retail AsiaAwards ประจำปี2568 ซึ่งจัดโดยนิตยสาร Retail Asia

เปิดผลประกอบการย้อนหลัง

สำหรับปีสิ้นสุดวันที่31 ธันวาคม 2565 ถึงปีสิ้นสุดวันที่31 ธันวาคม 2567 รายได้ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 9,941.2 ล้านบาท เป็น 16,214.4 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี(CAGR) 27.7% และสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2567 ถึงงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2568 รายได้ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 7,566.7 ล้านบาทเป็น 9,470.7 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 25.2%

ขณะที่กำไรสำหรับปีสิ้นสุดวันที่31 ธันวาคม 2565 ถึงปีสิ้นสุดวันที่31 ธันวาคม 2567 ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 1,051.2ล้านบาท เป็น 1,780.3 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี(CAGR)  30.1% และสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2567 ถึงงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2568 กำไรสำหรับงวดของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 793.7ล้านบาท เป็น 1,176.4 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 48.2%

อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น

อัตราส่วนเงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่31 ธันวาคม 2565 2566 และ 2567 และสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2568 เท่ากับ 0.25 เท่า 0.85 เท่า 0.55 เท่า และ 0.37 เท่า ตามลำดับ การเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนเงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจากวันที่31 ธันวาคม 2565 ถึงวันที่31 ธันวาคม 2566 

มีสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ยืมระยะยาวจากสถาบันการเงินเพื่อจ่ายเงินปันผล เงินทุนหมุนเวียน และการรีไฟแนนซ์(Refinance) เงินกู้ยืมจากผู้ถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงขึ้นมากกว่าการเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้น การลดลงของอัตราส่วนเงินกู้ที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2567 ถึงงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่30 มิถุนายน 2568 โดยหลักมีสาเหตุมาจากการลดลงของเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันการเงินจากการชำระวงเงินกู้หมุนเวียนและการเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้น