รายงานพิเศษ : STARM บุกตลาดสินค้าออนไลน์และออฟไลน์ พัฒนาช่องทางขายผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce ดันรายได้ปีนี้ทำสถิติใหม่โต 10%
กระทรวงพาณิชย์/กรมพัฒนาธุรกิจการคาดการณ์ว่า ตลาดอี-คอมเมิร์ซไทยมีมูลค่าประมาณ 700 พันล้านบาท ( 20.6 พันล้าน USD) ในปี 2567 และราว 750 พันล้านบาท ( 22.1 พันล้าน USD) ในปี 2568 โดยภาพรวมการเติบโต หลายรายงานอุตสาหกรรมสะท้อนว่า ตลาดยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์การเติบโตต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ย้ายมาใช้มือถือและโซเชียลคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ระบุว่า มูลค่าตลาด B2C และ E-Commerce สินค้าอุปโภคบริโภคในปี 2568 จะขยายตัวราว 6.4% แม้มีแรงกดดันจากกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นเต็มตัว
ส่วนยอดค้าปลีกปี 2567-2568 มองว่า จะเติบโตเฉลี่ยประมาณ 3.4% (ชะลอตัวจากช่วงก่อนหน้าที่เติบโตปประมาณ 5.9%) และมีแนวโน้มที่ร้านค้าต่างจังหวัดจะมีสัดส่วนที่สำคัญมากขึ้น เพราะมีช่องว่างในการขยายร้านค้า
การขยายตัวของตลาดออนไลน์ ออฟไลน์และ E-Commerce สอดคล้องกับทิศทางการทำธุรกิจของบริษัท สตาร์ มันนี่ จำกัด (มหาชน) หรือ STARM ซึ่ง นายชูศักดิ์ วิวัฒน์วงศ์เกษม กรรมการผู้จัดการ และทีมผู้บริหาร STARM ระบุ แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปี 68 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายช่องทางการขายสินค้าทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ควบคู่กับการพัฒนาช่องทางขายผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce และร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ
เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ เพิ่มตลาดใหม่และช่องทางการขายใหม่ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในกระบวนการขายและอนุมัติสินเชื่อ และมั่นใจว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องใกล้เคียง 10% และพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อซึ่งมีผลตอบแทนที่ดี เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีที่ผ่านมาตามแผนงานที่วางไว้
นอกจากนี้ ยังมีการทำการตลาดผ่านการลงพื้นที่ในชุมชน พร้อมกับทำ E-Catalog ให้กับสาขาย่อย เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการขาย ขณะที่การรักษาฐานลูกค้าจะมุ่งเน้นวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าเพื่อสร้างสิทธิประโยชน์ และบริการที่ตรงใจ ผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง งานดังกล่าวจัดขึ้นที่บริษัทฯ
ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิ 31.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 63.02% เทียบไตรมาสก่อนที่มีกำไรสุทธิ 19.35 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 4.47 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16.52% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.08 ล้านบาท