เฉลยต้นเหตุ! ตัวการทำ “บาทแข็ง” มากสุดรอบ 4 ปี โบรกฯชี้เป็นโอกาสลงทุน 12 หุ้นได้ประโยชน์
เฉลยสาเหตุทำเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง แถมแข็งค่าเร็วและแรงที่สุดในรอบ 4 ปี หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแอ อัตราดอกเบี้ยหลังหักเงินเฟ้อของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ ทำให้ช่วยดึงดูด Fund Flow ต่างชาติไหลเข้าไทย แนะนำ “ซื้อ” หุ้นกลุ่ม Domestic play และหุ้นที่มีโอกาสปรับขึ้นในช่วงบาทแข็งค่า

นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) มองว่า ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทแข็งค่าเร็วและแรงที่สุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา แตะ 31.67 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
สาเหตุหลักมาจาก 1. “เรื่องของดอลลาร์ฯ” การอ่อนค่าของดอลลาร์ฯ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณอ่อนแอ และตลาดแรงงานชะลอตัวต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนมองว่า Fed อาจจะลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาด รวมถึงความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯและแนวโน้มการลดการพึ่งพาเงินสกุลดอลลาร์ (De-Dollarization) ของกลุ่ม BIRCS และอาเซียนก็เป็นอีกปัจจัยหนุนให้ดอลลาร์อ่อนค่าเช่นกัน
และ 2.“เรื่องของบาท” การแข็งค่าของเงินบาทด้วยตัวของมันเองจาก ดุลเดินสะพัดของไทยเกินดุลต่อเนื่อง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest rate) ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยหลังหักเงินเฟ้อของไทยสูงกว่าสหรัฐฯ ทำให้ช่วยดึงดูด Fund Flow ต่างชาติไหลเข้าไทยโดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้
รวมทั้งยิ่งราคาทองสูงขึ้น ยิ่งทำให้เงินบาทแข็งค่า เนื่องจากไทยเป็น 1 ในศูนย์กลางการค้าทองคำ (gold trading hub) โดยข้อมูลจาก Bloomberg บ่งชี้ว่าค่าเงินบาทและทองคำมี Correlation กันสูงเกือบ 0.6
ขณะที่ SET ยัง laggard ตลาดหุ้นต่างประเทศ และ Valuation ยัง “ถูก” ดึงดูด Fund Flow ไหลเข้า และ นโยบายเศรษฐกิจที่กำลังมาและการปูทางไปสู่การเลือกตั้งใหม่ในปีหน้า จะช่วยหนุนเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเงินบาทแข็งค่า กลุ่มที่เสียประโยชน์มากสุดหนีไม่พ้นกลุ่มส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้เป็น USD หรือสกุลเงินต่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวไทย ซึ่งทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นสัดส่วนหลักของ GDP ไทย
ขณะที่กลุ่มนำเข้าจะได้ประโยชน์ รวมถึงราคาน้ำมันที่ถูกลงจะยิ่งกดดันให้เงินเฟ้อตํ่า และปัจจัยหนุนให้ ธปท. ลดดอกเบี้ย
นอกจากนี้ หากดูจากสถิติอุตสาหกรรมที่มีการเคลื่อนไหวสวนทางกับการแข็งค่าของเงินบาท ตั้งแต่ปี 2559 – 2568 พบว่า กลุ่มธนาคาร (ได้ผลบวกจาก Fund Flow) ปิโตรฯ (หนี้ต่างประเทศสูง) โรงไฟฟ้า (หนี้ต่างประเทศสูง) ขนส่ง (ต้นทุนนำเข้าเชื้อเพลิงลดลง) สื่อสาร (ได้ประโยชน์ในแง่ CAPEX ที่ลดลง) มักมีความสัมพันธ์เป็น “ลบ” กับทิศทางของค่าเงินบาทมากที่สุด หากดูเป็นหุ้นรายตัวที่มักปรับขึ้น ได้แก่ TOP, IVL, TISCO, WHA, SCC, BBL, SJWD, EGCO, KTB, KBANK, GPSC, AMATA, BPP, KKP, COM7, BANPU, ADVANC, BGRIM และ BCPG เป็นต้น
ดังนั้นด้วย Valuation SET ที่ยัง “ถูก” และ underperform ตลาดหุ้นโลก ขณะที่เริ่มเห็นปัจจัยบวกเข้ามาหนุนทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ, นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และบาทแข็งค่าหนุน Fund Flow จึงแนะนำ “ซื้อ” หุ้นกลุ่ม Domestic play และหุ้นที่มีโอกาสปรับขึ้นในช่วงบาทแข็งค่า อย่าง ADVANC, AMATA, BCPG, COM7, CPALL, CPN, CPNREIT, EGCO, GPSC, PTT, SJWD และ TOP
ยอดนิยม
GULF ลั่นกรณี KBANK ซื้อหุ้นคืน จำกัดสิทธิ "ซื้อขายหุ้น" ของบริษัทไม่ได้ แม้ KBANK ร่อนหนังสือวอนห้ามจำหน่าย
“พงษ์ศักดิ์” ทุ่ม 3.5 พันลบ. เทนเดอร์ SVI หุ้นละ 7.50 บาท ก่อนเพิกถอนออกจากตลาดหุ้น
“เซียนมี่” รับทรัพย์ 146 ลบ. หลัง “พงศ์ศักดิ์” ทำเทรนเดอร์ หุ้น SVI ที่ราคา 7.50 บาท
โบรกฯ คาด IRPC พลิกมีกำไร ครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส หลังสต๊อกน้ำมันเป็นบวก-GIM พุ่ง