Talk of The Town

จับจังหวะลงทุน 4 หุ้นเด่น รับอานิสงส์สถานการณ์ “น้ำท่วม” สถิติฟ้อง! ราคามักพุ่ง ลุ้นผลตอบแทนแจ่ม


12 กันยายน 2568

โบรกฯ มองสถานการณ์น้ำท่วมปีนี้ยังต้องเฝ้าระวัง ชี้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยกว่า 7.3 พันล้านบาท หากสถานการณ์ลากยาวอาจกระทบถึง 3 หมื่นล้านบาท พร้อมชูกลยุทธ์ลงทุน “หาจังหวะซื้อเก็งกำไร” หุ้นได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์ TASCO-HMPRO-GLOBAL-BJC

จับจังหวะลงทุน 4 หุ้นเด่น_S2T (เว็บ) copy_0.jpg

บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด ให้มุมมองว่าปี 2568 เศรษฐกิจไทยอาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยสูงกว่าปีก่อนและยังมีโอกาสใกล้เคียงปี 2560 หรือปี 2565 หากมีฝนตกสูงต่อเนื่องซึ่งยังคงต้องติดตาม แต่คาดจะไม่หนักเท่ามหาอุทกภัยในปี 2554 หลังภาครัฐมีบทเรียนบริหารจัดการน้ำ

หากไม่มีพายุพัดเข้าไทยมากกว่าที่คาดไว้และมีปริมาณฝนทยอยลดลงจากนี้จนถึง ต.ค. 68 คาดโอกาสเกิดน้ำท่วมหนักใน กทม. ดังเช่นปี 2554 ยังเป็นไปได้น้อยมาก เว้นแต่จะมีน้ำท่วมขังในบางพื้นที่ที่มีฝนตกหนักทำให้ระบายไม่ทันเพียงช่วงสั้นเท่านั้น

อย่างไรก็ดี สถานการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยยังคงอยู่ในภาวะเฝ้าระวัง อันเป็นผลจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 มีสถานการณ์อุทกภัยใน 19 จังหวัดที่มีรายงานความเสียหายชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับรายงานพื้นที่ทางหลวงที่ถูกน้ำท่วมในนครราชสีมาและอยุธยา

ขณะที่กรมชลประทานได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพื่อรองรับมวลน้ำจากตอนบน ทำให้พื้นที่ลุ่มต่ำมีความเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม  สถานการณ์นี้เป็นผลต่อเนื่องจากอิทธิพลของพายุและปรากฏการณ์ลานีญาที่ส่งผลให้มีฝนตกมากกว่าปกติ ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมมาตรการรับมือและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจขยายตัวไปยังพื้นที่อื่น

ในเบื้องต้นประเมินความเสียหายรวม 7.3 พันล้านบาท หรือ 0.037% GDP ซึ่งน้อยกว่าปีที่แล้วที่ความเสียหายอยู่ที่ประมาณ  2.98 หมื่นล้านบาท และต่ำกว่าการประเมินของหอการค้าไทยที่คาดความเสียหายกว่า 3 หมื่นล้านบาท โดยสมมุติฐานหลักภาคเกษตรรับผลกระทบหนักที่สุด โดยเฉพาะในพื้นที่ 8 จังหวัดที่ประสบอุทกภัย และคาดการณ์ว่าสถานการณ์จะส่งผลกระทบยาวนาน 1 เดือน

แต่อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าสถานการณ์อาจยาวนานและรุนแรงกว่าคาด เนื่องจากดัชนี Sothern Oscillation Index (SOI) ยังคงบ่งชี้ความเสี่ยงปริมาณน้ำฝนที่จะอยู่สูงต่อเนื่องในอีก 3-6 เดือนข้างหน้าจากภาวะ La Nina นอกจากนั้น ยังมีความเสี่ยงว่าสถานการณ์อาจกระทบกับภาคส่วนเศรษฐกิจอื่น ๆ

โดยในกรณีเลวร้าย หากปริมาณน้ำฝนยังมีสูงอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับในปี 2567 เป็นไปได้ที่จะกระทบต่อพื้นที่เกษตร และภาคบริการเป็นวงกว้าง ซึ่งมองว่า ผลกระทบโดยรวมอาจจะประมาณ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นภาคเกษตร 2 หมื่นล้านบาท และภาคบริการและท่องเที่ยว 1 หมื่นล้านบาท

ดังนั้น หากสถานการณ์อุทกภัยในภาคเหนือ ภาคกลางตอนเหนือ และภาคตะวันออก ยืดเยื้อยาวนาน 1 เดือน อาจกระทบต่อการผลิตภาคเกษตร อุตสาหกรรม และภาคบริการในพื้นที่ดังกล่าว และทำให้เศรษฐกิจเสียหายประมาณ 7.3 พันล้านบาท หรือ 0.037% GDP โดยภาคเกษตรอาจได้รับผลกระทบเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้ายหากสถานการณ์ลากยาว และกระทบภาคส่วนอื่น ๆ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจถึงประมาณ 3.0 หมื่นล้านบาทหรือ 0.15% GDP

ทั้งนี้ กลยุทธ์ลงทุนสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แนะนำ “หาจังหวะซื้อเก็งกำไร” ในหุ้นที่คาดได้อานิสงส์บวกจากสถานการณ์อุทกภัยอย่าง TASCO, HMPRO, GLOBAL, BJC เนื่องจากจากสถิติระหว่างปี 2558-2567 (ยกเว้นปี 2563 ที่เกิดวิกฤตโควิด-19) พบว่าราคาหุ้นจะปรับขึ้นได้ดีเมื่อซื้อลงทุนช่วงกลาง ก.ย. และไปขายต้น พ.ย. โดยคาดหวังได้ผลตอบแทนสูงสุดเฉลี่ยราว 2.6%