รายงานพิเศษ : TEGH รายได้ปี 68 All Time High จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้ง 3 สายธุรกิจ เดินหน้าดันบริษัทลูก TEBP เข้า mai
บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) เติบโตอย่างโดดเด่นยอดขายครึ่งปีแรกทะลุเป้า ผู้บริหารมั่นใจผลงานปีนี้ทำสถิติสูงสุดใหม่ ปลายปี68 ดันบริษัทลูกเข้าระดมทุนใน mai ขณะที่โบรกเกอร์มองแนวโน้มปี68 ค่อนข้างสดใส แนะนำ “ซื้อ”
สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมาจะมีความผันผวน แต่ก็ไม่กระทบผลการดำเนินงานบมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TEGH) สะท้อนจากยอดขายและรายได้ในช่วงที่ผ่านมา ที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดย “สินีนุช โกกนุทาภรณ์” กรรมการผู้จัดการ ระบุ แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 68 มีทิศทางสดใส และมีโอกาสสร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากปริมาณยอดขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมียอดขายยางแท่งมาตรฐาน EUDR ที่เติบโตตามเป้าหมาย ธุรกิจน้ำมันปาล์มดิบยอดขายเพิ่มขึ้นและกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้ ธุรกิจพลังงานทดแทนฯ ที่สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นจากการขยายกำลังการผลิตไปเมื่อปลายปีที่แล้ว
นอกจากนี้บริษัทยังพร้อมเดินหน้านำบริษัทย่อยคือ บมจ.ไทยอีสเทิร์น ไบโอ พาวเวอร์ (TEBP) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในปลายปีนี้ ภายใต้วิสัยทัศน์ Leading Green Energy Revolution: Pioneering the Net Zero Solution เพื่อสร้างโอกาสเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน
สำหรับการส่งออกสินค้ายางแท่งไปยังสหรัฐฯ บริษัทไม่ได้รับผลกระทบทางตรงจากมาตรการขึ้นภาษี "Reciprocal Tariffs" ในอัตรา 19% ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 68 แต่อย่างใด เนื่องจากยางแท่งอยู่ในรายชื่อสินค้าที่ได้รับการยกเว้น อีกทั้ง TEGH มีฐานลูกค้ากระจายตัวทั่วทุกทวีป และยังมีอุปสงค์ของยางแท่งมาตรฐาน EUDR ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลบริษัทฯในปีนี้ ทั้งในเชิงของปริมาณขายและอัตรากำไร
ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/68 กลุ่มบริษัทฯมีรายได้รวม 5,401.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,263.6 ล้านบาท หรือ 72.1% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 3,137.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 211.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110.7 ล้านบาท หรือ 109.8% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 100.8 ล้านบาท
โดยได้รับปัจจัยหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ทั้ง 3 สายธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติ น้ำมันปาล์มดิบ และพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ รวมถึงมียอดขายยางแท่งตามมาตรฐาน EUDR เข้ามาเสริม โดยสัดส่วนรายได้จากธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางธรรมชาติอยู่ที่ 86% ธุรกิจจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ 13% และธุรกิจพลังงานทดแทนและบริหารจัดการกากอินทรีย์ 1%
สำหรับในงวดหกเดือนแรกปี 68 มีรายได้รวม 11,068.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,229.2 ล้านบาท หรือ 61.8% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 6,839.2 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 387.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 223.3 ล้านบาท หรือ 135.9% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 164.2 ล้านบาท
ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทนและรับบริหารจัดการกากอินทรีย์ ภายใต้การบริหารของ TEBP ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TEGH ภาพรวมในปีนี้คาดว่าจะเห็นรายได้และกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดด หลังโครงการขยายกำลังการผลิต Biogas zone 3.1 สามารถรับรู้รายได้อย่างเต็มที่จากการขายก๊าซชีวภาพให้กับ บมจ.โกลบอลกรีนเคมิคอล (GGC) ซึ่งผูกสัญญายาว 7 ปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท โดยเริ่มซื้อขายตั้งแต่ไตรมาส 4/67
ยังตอกย้ำถึงความแข็งแกร่ง ได้จากบทวิเคราะห์ ของบล.ทรีนีตี้ ที่ยังคงมองแนวโน้มปี 2568 ค่อนข้างสดใส จากกำไรงวด 1H68 คิดเป็นราว 55% ของประมาณการทั้งปีที่คาดไว้ที่ 699 ล้านบาท (+25%YoY) แม้ว่าแนวโน้มราคายาง SICOM ล่าสุดจะอ่อนตัวลงมาบ้าง แต่อาจเห็นสัดส่วนการขายยาง EUDR ในช่วงที่เหลือของปีเพิ่มขึ้น เนื่องจากใกล้ช่วงเวลาบังคับใช้เกณฑ์ EUDR
ขณะที่ในไตรมาส 3/68 อาจเห็นธุรกิจปาล์มอ่อนตัวลงบ้างตามปัจจัยฤดูกาล แต่จะกลับมาดีในไตรมาส 4/68เนื่องจากจะเข้าช่วงฤดูกาลที่ผลปาล์มกลับมาสูงอีกครั้ง สำหรับประเด็นด้านภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ยังไม่มีผลกระทบ เนื่องจากยางแท่งและน้ำยางดิบเป็นสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษี บวกกับยางล้อที่มีฐานการผลิตที่ไทยมีเพียงส่วนน้อยที่ส่งออกไปที่สหรัฐฯ
ดังนั้นจึงคงราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 4.9 บาท อิง PER 9 เท่า โดยราคาหุ้นปัจจุบันที่อ่อนตัวลงมาค่อนข้างมาก ทำให้เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ”