Smart Investment

3 สมมุติฐานทองคำปลายปี 2025 เส้นทางราคาพุ่งแรง–ทรงตัว–หรือร่วง? จากการตัดสินใจลดดอกเบี้ยของ FED


31 สิงหาคม 2568

การตัดสินใจลดดอกเบี้ยของ FED จะเป็นตัวกำหนดทิศทางราคาทองคำปี 2025 โดยมีทั้งกรณีฐาน ขาขึ้น และขาลง ให้จับตาอย่างใกล้ชิด

จับตา-3-สมมุติฐานใหญ่_S2T-(เว็บ)_0.jpg

Aussiris มองว่าทิศทางราคาทองคำปลายปี 2025 จะขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐฯ เป็นหลัก

กรณีฐาน (Base Case)

FED ลดดอกเบี้ย 1–2 ครั้ง ดอลลาร์อ่อน

ทองเคลื่อนไหว 3,400–3,500 ดอลลาร์

กรณีบวก (Bullish)

FED ลดดอกเบี้ยแรงกว่า 2 ครั้ง เศรษฐกิจถดถอย และมีความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์

ดันราคาทอง ทะลุ 3,500 ดอลลาร์ ไป 3,600–3,700 ดอลลาร์

กรณีลบ (Bearish)

เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว FED ชะลอการลดดอกเบี้ย ดอลลาร์แข็ง

ทองอาจ ร่วงกลับ 3,300–3,050 ดอลลาร์

...ดูเหมือนว่า ทองคำยังมีเสน่ห์ลงทุน แต่ทุกการเคลื่อนไหวของ FED จะชี้ชะตาราคาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

คาดการณ์ราคาทองคำโลกปี 2025

สถาบันการเงินชั้นนำระดับโลกต่างออกมาคาดการณ์ราคาทองคำปลายปี 2025 โดยให้กรอบเป้าหมายที่แตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่ยังมองบวกต่อทิศทางทองคำ

Bank of America (BofA) มองราคาทองคำพุ่งได้สูงสุดถึง 4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ หากปัจจัยเอื้อต่อสินทรัพย์ปลอดภัย

Goldman Sachs  ประเมินราคาทองอยู่ที่ 3,700 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากนโยบายการเงินผ่อนคลายและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

UBS ตั้งเป้าราคาเฉลี่ยปลายปีที่ 3,500 ดอลลาร์/ออนซ์ มองว่า Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ยหนุนทองคำ

Citi ให้มุมมองใกล้เคียงกัน คาดทองคำที่ 3,500 ดอลลาร์/ออนซ์ สะท้อนภาพเศรษฐกิจโลกยังมีความเสี่ยง

...ทั้ง 4 สถาบันยังคงมุมมองบวกต่อทองคำในปี 2025 โดยกรอบราคาเคลื่อนไหวตั้งแต่ 3,500–4,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ชี้ให้เห็นว่าทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกเลือกใช้ป้องกันความเสี่ยงจากเศรษฐกิจและการเงินโลก

ธนาคารกลางทั่วโลกแห่ตุนทอง!

ขณะที่ธนาคารกลางยังซื้อสุทธิในครึ่งแรกปี 2025 เพื่อกระจายความเสี่ยงจากดอลลาร์ เสริมเสถียรภาพทุนสำรอง และสะท้อนบทบาททองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยระยะยาว

World Gold Council (WGC) เปิดเผยรายงานล่าสุดว่า ความต้องการถือครองทองคำของธนาคารกลางทั่วโลกยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้งในปีนี้ โดยการซื้อทองในครึ่งแรกของปี 2025 ถูกมองว่ายัง “แข็งแกร่งและมีสุขภาพดี” (healthy) แม้จะชะลอลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

สหรัฐฯ และยุโรป ยังคงเป็นผู้ครองทองรายใหญ่ที่สุดของโลก

โดยสหรัฐฯ ถือทองคำ 8,133.5 ตัน (74.9% ของทุนสำรอง), เยอรมนี 3,351.2 ตัน, อิตาลี 2,451.8 ตัน และฝรั่งเศส 2,437 ตัน ทั้งหมดเน้นการถือครองระยะยาวมากกว่าซื้อเพิ่ม

จีนถือเป็นผู้ซื้อต่อเนื่อง โดยธนาคารกลางจีน (PBOC) ซื้อทองติดต่อกัน 9 เดือน

ล่าสุดเดือนกรกฎาคมเพิ่มอีก 2 ตัน ทำให้ยอดรวมอยู่ที่ 2,300 ตัน คิดเป็น 6.8% ของทุนสำรอง และในไตรมาสแรกปีนี้ซื้อรวมกว่า 46 ตัน

โปแลนด์ ขึ้นแท่นผู้ซื้อรายใหญ่สุดในไตรมาสแรก ด้วยการซื้อทอง 57 ตัน ตามด้วย อินเดีย ซึ่งเร่งเพิ่มสัดส่วนทองในทุนสำรองจาก 8.9% เป็น 12.1% ภายในเวลาเพียง 1 ปี

นอกจากนี้ ยังมีประเทศอย่าง ตุรกี, คาซัคสถาน, กัมพูชา, ฟิลิปปินส์ และกานา ที่ซื้อเพิ่มในเดือนพฤษภาคม ขณะที่บางประเทศ เช่น เช็ก และ ฟิลิปปินส์ มีการขายออกเล็กน้อย 3–4 ตัน

ผลสำรวจของ WGC ระบุว่า 95% ของธนาคารกลาง คาดว่าจะเพิ่มการถือครองทองคำภายใน 12 เดือนข้างหน้า สะท้อนความเชื่อมั่นว่า “ทองคำ” ยังคงเป็นสินทรัพย์สำคัญในการกระจายความเสี่ยงจากดอลลาร์และเสริมเสถียรภาพทางการเงินโลก

จับตา-3-สมมุติฐานใหญ่_0.jpg