รายงานพิเศษ : STARM ปรับกลยุทธ์สร้างความยั่งยืน ขยายพันธมิตร-ลงทุนเทคโนโลยี ดันรายได้เติบโตทำสถิติใหม่
บมจ.สตาร์ มันนี่ (STARM)ปรับกลยุทธ์รับมือความท้าทายของเศรษฐกิจ มั่นใจเดินถูกทางสะท้อนจากผลงานไตรมาส2 ยังทำกำไรได้ต่อเนื่อง เชื่อรายได้รวมปีนี้จะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องใกล้เคียง 10% และพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งมีผลตอบแทนที่ดี เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีที่ผ่าน
ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ จากปัญหาทั้งที่มาจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ บมจ.สตาร์ มันนี่ (STARM) ในฐานะผู้จำหน่ายสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งในรูปแบบขายเงินสดและขายเงินผ่อน และให้บริการปล่อยสินเชื่อประเภทต่างๆ รวมถึงให้บริการเป็นนายหน้าประกันวินาศภัย ก็ได้มีการปรับกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ โดย “ชูศักดิ์ วิวัฒน์วงศ์เกษม” กรรมการผู้จัดการ STARM ระบุว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ โดยแผนพัฒนาในการสร้างตลาดและเครือข่ายใหม่ เน้นการขยายธุรกิจไปยังพันธมิตรและคู่ค้าใหม่ รวมถึงแผนการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน
ผ่าน Workplace เพื่อขยายฐานลูกค้าเจาะกลุ่มพนักงานโรงงาน/พนักงานบริษัท ,การเพิ่มสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ ,การ พัฒนา E-Tax/E-Receipt เพื่อรองรับชอปดีมีคืน ,เน้นการปล่อยสินเชื่อ-ประกัน เพื่อเพิ่มยอดขายประกันภัยในกลุ่มลูกค้าสินเชื่อแบบมีหลักประกัน ,การเพิ่มช่องทางการขายสินค้าประเภทเงินสดและเงินผ่อนผ่านช่องทางออนไลน์ ,การเพิ่มช่องทางการขายประกันทางออนไลน์ และ Simplify Process เพื่อช่วยในการลดขั้นตอนการส่งข้อมูลและเอกสาร
และบริษัทยังเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารคุณภาพสินเชื่อ บริหารและวิเคราะห์ลูกค้า เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการลูกค้า เพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงสินเชื่อและลดขั้นตอนในการสมัครทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ระบบล็อคมือถือ เพิ่มโอกาสการขายโทรศัพท์มือถือและควบคุมคุณภาพการจัดเก็บหนี้ให้ดีขึ้น , การใช้ NCB เพิ่มประสิทธิภาพในการพิจารณาอนุมัติ
การใช้ระบบ OTP เพื่อยืนยันเบอร์โทรการติดต่อของลูกค้า , ใช้ DOPA เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลลูกค้า , การใช้ E-KYC เพื่อยืนยันตัวตนลูกค้าในการทำธุรกรรม , AMLO เพื่อเช็คประวัติการฟอกเงิน /ดูความเสี่ยง , ใช้ Machine Learning เพื่อช่วยในการตัดสินใจอนุมัติสินเชื่อ และช่วยในการบริหารหนี้ และ ชี้กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย และ การใช้ E-consent เพื่อขอความยินยอมในการใช้หรือเปิดเผยข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แทน แบบฟอร์มยินยอม
ซึ่งการปรับกลยุทธ์ดังกล่าว ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯปรับตัวดีขึ้น โดยในไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิ 31.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.2 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 63.02% เทียบไตรมาสก่อนที่มีกำไรสุทธิ 19.35 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 4.47 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16.52% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 27.08 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 6 เดือนแรกของปี 68 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 50.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.35 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9.35% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 46.55 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 801.72 ล้านบาท
และมั่นใจว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปี 68 จะยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายช่องทางการขายสินค้าทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ควบคู่กับการพัฒนาช่องทางขายผ่านแพลตฟอร์ม E-commerce และร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ เพิ่มตลาดใหม่และช่องทางการขายใหม่ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในกระบวนการขายและอนุมัติสินเชื่อ
ส่งผลให้รายได้รวมในปีนี้จะเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่องใกล้เคียง 10% และพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งมีผลตอบแทนที่ดี เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีที่ผ่านมาตามแผนงานที่วางไว้