PTTGC ชูจุดแข็ง Biorefinery ลุยเชื้อเพลิงอากาศยาน SAF ตั้งเป้าเพิ่มกำลังผลิต 24 ล้านลิตร/ปี
PTTGC เผยโครงการโรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) ครบวงจร มีจุดเด่นนวัตกรรมการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูงใช้การแปรรูปน้ำมันพืชใช้แล้วสู่การผลิตเชื้อเพลิง SAF ชี้ไม่ต้องสร้างโรงงานขึ้นมาใหม่ นำร่องเฟสแรกกำลังการผลิต 6 ล้านลิตรต่อปี และจะขยายเป็น 24 ล้านลิตรต่อปีในอนาคต
นายทศพร บุณยพิพัฒน์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC กล่าวว่า โครงการโรงกลั่นชีวภาพ (Biorefinery) ครบวงจรซึ่งได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา
โดยในระยะแรกมีกำลังการผลิต SAF จำนวน 6 ล้านลิตรต่อปี หรือ สามารถผลิต Bio-Polymers/Chemecals 20,000 ตันต่อปี และในอนาคตจะขยายเป็น 24 ล้านลิตรต่อปี หรือ สามารถผลิต Bio-Polymers/Chemecals ได้ราว 80,000 ตันต่อปี
โดยจุดเด่นที่สำคัญของ โครงการ Biorefineryประกอบด้วย 1.นวัตกรรมการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง: ผสานจุดแข็งทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัยและความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเทคโนโลยีของโรงกลั่นชีวภาพโดยใช้การแปรรูปน้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) ร่วมกับน้ำมันดิบสู่การผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel: SAF) เชิงพาณิชย์ได้โดยไม่ต้องสร้างโรงงานขึ้นมาใหม่ ทำให้สามารถประหยัดการลงทุนเมื่อเทียบกับการสร้างโรงงานใหม่
ในระยะแรกมีกำลังการผลิต 6 ล้านลิตรต่อปี และจะขยายเป็น 24 ล้านลิตรต่อปีในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 15,000 ตันต่อปีในระยะแรก และ 60,000 ตันต่อปีในระยะที่สอง หรือสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 80% เมื่อเทียบกับน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกระบวนการนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการแปรรูปวัสดุชีวภาพ แต่ยังสร้างความมั่นใจว่าอุตสาหกรรมการบินไทยจะสามารถแข่งขันได้ในระดับโลก และมีส่วนร่วมสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน
2.พันธมิตรเชิงกลยุทธ์: ความร่วมมือระหว่าง PTTGC กับพันธมิตรสำคัญอย่างบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR การบินไทยหรือ TG และสายการบินบางกอก แอร์เวย์ ในการนำ SAF ไปใช้ นับเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาเครือข่ายการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วภูมิภาค พร้อมสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการบินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โดยมีแผนการขยายการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและขยายฐานการตลาด รวมถึงการทำงานร่วมกับองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีชีวภาพและพลังงานทดแทน เพื่อผลักดันการพัฒนาและขยายตลาดผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน
3.ต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง: PTTGC ต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านการกลั่นและเคมีภัณฑ์ขั้นสูง โดยการพัฒนากระบวนการ Co-processing ที่สามารถใช้งานร่วมกับหน่วยกลั่นเดิมได้ นำน้ำมันพืชใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) มาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ (Bio-Chemicals) และพลาสติกชีวภาพ (Bio-Polymers) มูลค่าสูง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมที่มุ่งเน้นการใช้วัสดุทางเลือกที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ PTTGC ได้เริ่มผลิตเชิงพาณิชย์แล้ว จำนวน 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ Bio-Propylene สำหรับผลิตบรรจุภัณฑ์ พลาสติกแข็ง ของเล่นเด็ก และชิ้นส่วนยานยนต์ Bio-BD (Bio-Butadiene) ใช้ในยางรถยนต์และรองเท้ากีฬา และ Bio-PTA (Bio-Purified Terephthalic Acid) สำหรับผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และขวดพลาสติก PET โดยขณะนี้มีตลาดปลายทางในอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ อุตสาหกรรมยาง และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ตามลำดับ
PTTGC ยังต่อยอด Bio-Naphtha ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิตเคมีภัณฑ์และพลาสติก Bio-PE (Bio-Polyethylene) สำหรับผลิตถุงพลาสติก ฟิล์ม และบรรจุภัณฑ์อาหาร และ Bio-MEG (Bio-Monoethylene Glycol) สำหรับผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และขวดพลาสติก PET อีกด้วย
อีกทั้งโรงกลั่นชีวภาพของ PTTGC มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบทางการเกษตรและของเสียในประเทศ โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้มีคุณสมบัติเทียบเท่าวัสดุจากฟอสซิล แต่ปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญช่วยลดปัญหาของเสีย เพิ่มรายได้ให้กับชุมชน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นรูปธรรม
สอดคล้องกับเป้าหมายของ PTTGC ในการเป็นผู้นำธุรกิจคาร์บอนต่ำที่เติบโตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ชีวภาพของ PTTGC ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับสากลด้านความยั่งยืนอย่าง ISCC PLUS (International Sustainability and Carbon Certification Plus) ซึ่งมุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบชีวภาพและวัสดุหมุนเวียนในกระบวนการผลิตอย่างมีความรับผิดชอบ ช่วยให้แบรนด์ผู้ผลิตสินค้าปลายทางสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมั่นใจ
4.ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม: การลงทุนในโครงการนี้ไม่เพียงช่วยเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคการบิน แต่ยังพัฒนาและส่งเสริมความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่การคัดเลือกแหล่งวัตถุดิบทางชีวภาพที่ยั่งยืนไปจนถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ พร้อมเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ในอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำ สนับสนุนเกษตรกรและชุมชนท้องถิ่นผ่านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร
โครงการ SAF ของ PTTGC ไม่เพียงเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย แต่ยังช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการบินให้เข้าสู่เศรษฐกิจพลังงานสะอาด พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงระดับโลกในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน
ยอดนิยม
%20copy_0.jpg)
SCC แจกหนัก! ปันผลกลางปี 2.5 บาท คิดเป็น 92% ของกำไร หลัง Q2 ฟันกำไร 1.7 หมื่นล้าน โต 368%
%20copy_0.jpg)
BH เผยกำไรครึ่งปีลดลง 8.3% เหตุรายได้ผู้ป่วยต่างชาติ-ไทยหด บอร์ดเคาะปันผลระหว่างกาล 2 บาท
%20copy_0.jpg)
สื่อนอกตีข่าว! สหรัฐฯ ปิดดีลภาษีกับไทยแล้ว โบรกฯ ชี้เป็น Sentiment บวกต่อ SET
%20copy_0.jpg)
หุ้นไทยวิ่งแรง แต่เสี่ยงสะดุด! จับตา 1 ส.ค.นี้ ทางรอด-ร่วง ภาษีทรัมป์ชี้ชะตา SET Index
%20copy_0.jpg)