รายงานพิเศษ : SM สร้างการเติบโตที่ยั่งยืน เดินหน้าโครงการ CSR- ESG ตอกย้ำองค์กรที่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า เป็นยุคที่โลกกำลังเผชิญกับภาวะโลกเดือด จากสาเหตุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้แนวคิดเรื่อง ESG กลายเป็นสิ่งที่ทุกประเทศทั่วโลกให้ความสนใจ เพื่อสร้างความยั่งยืน รวมทั้งบมจ.สตาร์ มันนี่ (SM) ที่มีนโยบายให้ความสำคัญกับเรื่อง ESG
ซึ่ง ESG (Environmental, Social, Governance) คือ กรอบแนวคิดในการขับเคลื่อนความอย่างยั่งยืน (Sustainability) ขององค์กรยุคใหม่ โดยมุ่งเน้นการปกป้องทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) ที่กำลังมีบทบาทเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในโลกธุรกิจปัจจุบัน และมีความเป็นไปได้สูงสำหรับกลุ่มธุรกิจหรือองค์กรที่มีมาตรฐาน ESG จะมีความได้เปรียบจากการวางรากฐานสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
การใส่ใจเรื่อง ESG เกิดขึ้นกับทุกองค์กร ไม่เว้นแม้แต่ธุรกิจที่ให้บริการสินเชื่อ อย่าง บมจ.สตาร์ มันนี่ (SM) ผู้นำในการให้บริการสินเชื่อรายย่อยแบบมีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน ภายใต้ชื่อแบรนด์ สตาร์ มันนี่ (Star Money) ถือเป็นผู้จัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าและสมาร์ทโฟนรายใหญ่ ในภาคตะวันออกของไทย ได้รับขนานนาม ราชาเงินผ่อนภาคตะวันออก
โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ลงพื้นที่ทำกิจกรรม CSR เพื่อสังคมอย่างสม่ำเสมอ อาทิ กิจกรรม Star Money Smart Fin (สตาร์ มันนี่ สมาร์ทฟิน) เป็นโครงการมอบความรู้ช่วยวางแผนอนาคตทางการเงินในชีวิตประจำวัน เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดเรื่องการออมการลงทุนในอนาคตได้
บริษัทยังได้ร่วมสนับสนุนกิจกรรม RUN FOR Disadvantaged Children วิ่งเพื่อน้อง เพื่อสมทบทุนการศึกษามูลนิธิช่วยเหลือนักเรียนยากจนอำเภอแกลง จ.ระยอง, กิจกรรมปลูกป่าไปกับสตาร์ มันนี่ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มออกซิเจนให้ชุมชน, โครงการเก็บขยะชายหาด ร่วมกับ อสมท. จ.จันทบุรี FM 95.25 MHz เพื่อช่วยลดปริมาณขยะ ปรับทัศนียภาพงานวันลอยกระทง , สนับสนุนการแข่งขันแรลลี่แฟมิลี่การกุศล เพื่อระดมทุนซื้ออุปกรณ์การแพทย์ จ.จันทบุรี, กิจกรรมจิตอาสาทาสีโรงเรียนห้วยยางศึกษา อ.แกลง นอกจากนี้ทางบริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรมบริจาคเลือดทุกปี โดยระดมพลพนักงานจิตอาสา เพื่อส่งต่อพลังแห่งการให้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้มีการทยอยติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ตามสาขาต่างๆ ซึ่งตอนนี้ติดตั้งแล้ว 15 สาขา โดยตั้งแต่เดือนมกราคม - เมษายน 2568 ได้ใช้ไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์ทดแทนการซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้า จำนวน 46,749.90 kWh คิดเป็นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 23.37 tCO2e สำหรับทั้ง 15 สาขานี้ ก่อนติดตั้งโซลาร์เซลล์บริษัทฯ ต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเดือนละ 491,367 บาท/เดือน แต่ภายหลังติดตั้งรายจ่ายค่าไฟฟ้าลดลงถึง 31% เหลือเฉลี่ยเดือนละ 339,321 บาท ถือเป็นหนึ่งวิธีที่ช่วยลดต้นทุนและลดก๊าซเรือนกระจกได้ดี
และล่าสุดบริษัทฯ ได้รับมอบประกาศนียบัตรการรับรองมาตรฐาน ISO 14064-1:2018 ปี 2568 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลด้านการทวนสอบการวัดปริมาณและการรายงานผลการปล่อยและลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในระดับองค์กร จาก บริษัท บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (BV)
ขณะที่ในปี 2567 บริษัทฯ ผ่านการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ถือเป็นการตอกย้ำสุดยอดองค์กรที่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอกองค์กร