รายงานพิเศษ : PCE ลุยกลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่ม ตั้งบริษัทร่วมทุนทำอุตสาหกรรมอาหาร ส่งสัญญาณผลงานไตรมาส 2/68 สดใส
PCE จับมือ ISF ตั้งบริษัทร่วมทุนเจาะกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่นในไทย และภาคอุตสาหกรรมอาหาร หวังสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ำมันปาล์ม มั่นใจอุตสาหกรรมอาหารมีแนวโน้มเติบโตดี ทำให้ PCE ผลิตน้ำมันปาล์มที่เป็นสินค้า High Value Added แม้วอลุ่มจะน้อยแต่ได้มาร์จิ้นดีกว่า
บมจ. เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) เดินหน้ากลยุทธ์สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับน้ำมันปาล์ม ลุยธุรกิจอุตสาหกรรมอาหาร โดย นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ PCE ระบุคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ โดยเป็นการร่วมทุนระหว่าง บริษัทฯ กับ บริษัท Intercontinental Specialty Fats Sdn. Bhd. (ISF) ชื่อบริษัท นิทไทย สเปเชียลตี้ ออย แอนด์ แฟตส์ จำกัด เพื่อเพิ่มช่องทางใหม่จากกลุ่มลูกค้าของประเทศญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย และในภาคอุตสาหกรรมอาหาร
ทั้งนี้บริษัท นิทไทย สเปเชียลตี้ ออย แอนด์ แฟตส์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 500,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท โดย PCE ถือสัดส่วน 60% และ ISF ถือหุ้น 40%
“ความร่วมมือกับ บริษัท Intercontinental Specialty Fats Sdn. Bhd. (ISF) ซึ่งเป็นบริษัทญี่ปุ่น โดยมีบริษัทแม่คือ The Nisshin Oillio Group ที่เป็นบริษัทน้ำมันพืชรายใหญ่ในญี่ปุ่น โดย IFS ได้มีการลงทุนในประเทศมาเลเซีย อิตาลี และเซี่ยงไฮ้ และต้องการขยายตลาดมาที่ไทย จึงได้จับมือกับ PCE ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์ม ซึ่งปัจจุบันผลิตน้ำมันปาล์มไทยคุณภาพดีใกล้เคียงมาเลเซีย และบริษัทมีระบบโลจิสติกส์ที่ดี”
ทั้งนี้การร่วมทุนกับ IFS ในเฟสแรกจะเป็น Marketing Firm ก่อนในระยะ 1-1 ปีครึ่ง โดย PCE จะนำน้ำมันปาล์มคุณภาพดี ส่งขายให้กับอุตสาหกรรมอาหารของลูกค้าญี่ปุ่นในไทย อาทิ โรงงานทำเบเกอรี่ เป็นต้น ซึ่งลูกค้าญี่ปุ่นในกลุ่มนี้อยู่ในไทยจำนวนมาก
ส่วนเฟสสอง จะเริ่มลงทุนก่อสร้างโรงงาน ซึ่งกำลังมองหาสถานที่อยู่ อาจจะอยู่ในจ.สุราษฎร์ธานี หรือจ.ชลบุรี ส่วนขนาดกำลังการผลิต ต้องรอหารือกับพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่น โดยคาดว่าจะผลิตเพื่อส่งออกด้วย
ทั้งนี้บริษัทเชื่อว่า ตลาดอุตสาหกรรมอาหารมีแนวโน้มเติบโตดี จะทำให้ PCE ผลิตน้ำมันปาล์มที่เป็นสินค้า High Value Added แม้วอลุ่มจะน้อยแต่ได้มาร์จิ้นดีกว่า
นอกจากนี้ PCE กำลังเจรจาหลายรายที่จะร่วมพันธมิตรในอุตสาหกรรม Consumer ในไทย ที่จะนำน้ำมันปาล์มไปต่อยอด อาทิ ยาสีฟัน ผงซักฟอก เป็นต้น หรือเป็นวัตถุดิบในการผลิตเครื่องสำอาง ซึ่งมองว่าส่วนนี้น่าจะเน้นส่งออกมากกว่า
สำหรับผลงานของบริษัทแนวโน้มไตรมาส 2/68 นายพรพิพัฒน์ เชื่อว่า จะมีทิศทางที่ดี ผลผลิตปาล์มสดจากสวนเริ่มออกมา โดยเฉพาะการส่งออกน้ำมันปาล์มไปจีน และอินเดีย ขณะเดียวกันบริษัทฯ เตรียมแผนขยายกำลังการผลิต เน้นเพิ่มมูลค่าสินค้า เพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่มีมากขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนากลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้
"ภาพรวมธุรกิจ PCE ในไตรมาส 2/68 ยังคงมีทิศทางที่สดใส คาดว่าผลผลิตปาล์มน้ำมันในไตรมาส 2 เริ่มออกมาเป็นจำนวนมากหนุนรายได้ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 30,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย และเราได้ให้ความสำคัญต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
รวมถึงให้ความสำคัญด้านการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดน้ำมันปาล์มและอื่นๆ ด้วยการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ปาล์ม เช่น น้ำมันเมล็ดในปาล์ม (CPKO) และน้ำมันเมล็ดในปาล์มกึ่งบริสุทธิ์ (RBDPKO) โดยเพิ่มยอดการจัดจำหน่ายมากกว่า 40,000 ตันจากเดิม 15,000 ตัน และวางแผนการส่งออกกะลาปาล์มคุณภาพสูงไม่น้อยกว่า 120,000 ตันต่อปี อันเป็นการเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร หนุนรายได้เกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน
ทั้งยังเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน และสร้างผลตอบแทนระยะยาวผ่านการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ และพัฒนากระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรมควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน"