รายงานพิเศษ : SUPER ลุยขยายโรงไฟฟ้าในประเทศ รองรับนโยบายรัฐ-ความต้องการใช้ ตั้งเป้าปี 70 กำลังผลิตรวมแตะ 2,200 MW
เทรนด์การใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ยังมีความต้องการใช้มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ส่งออกไปในตลาดยุโรป ส่งผลดีต่อ บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) ที่ CEO ประกาศขยายการผลิตไฟฟ้าในประเทศมากขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุถึงความเสี่ยงของธุรกิจโรงไฟฟ้าฟอสซิลในระยะกลางถึงยาว โดยระบุว่า ร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (ร่าง PDP 2024) มีเป้าหมายในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลและเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบไฟฟ้า โดยกำลังการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมีแนวโน้มลดลงจาก 38,108 MW ในปี 2566 สู่ 30,453 MW ในปี 2580 หรือลดลงราว 20% ขณะที่สัดส่วนอุปทานเชื้อเพลิงฟอสซิลคาดว่าจะลดลงจาก 72% ในปี 2566 สู่ 49% ในปี 2580 อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว การผลิตไฟฟ้าโดยเชื้อเพลิงฟอสซิลจะมีทิศทางลดลงได้อีก เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2608
ผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มหันมาใช้ไฟฟ้าสะอาดมากขึ้น เนื่องจาก พ.ร.บ. Climate Change และกฎระเบียบการค้าโลกด้านสิ่งแวดล้อมที่เคร่งครัดมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีการส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป ที่มีการใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ซึ่งทำให้ผู้ผลิตในนิคมอุตสาหกรรมเริ่มหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออก
อุปทานก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในประเทศมีแนวโน้มลดลง ส่งผลให้ต้องมีการนำเข้า LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า ร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 (ร่าง Gas Plan 2024) ระบุว่าจากอุปทานทั้งหมด การจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแหล่งในไทยมีแนวโน้มลดลงเหลือเพียง 36% ในปี 2580 จาก 55% ในปี 2567 สวนทางกับการนำเข้า LNG ที่เพิ่มขึ้น โดยราคา LNG สูงกว่าก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้ในประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าฟอสซิลมีทิศทางเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อุปทานก๊าซธรรมชาติในไทยอาจมีการเปลี่ยนแปลง หากมีการเจรจาเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา (OCA) ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติ ที่ยังไม่ทราบผลแน่ชัด และต้องใช้ระยะเวลา
ความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่มีมากขึ้น ส่งผลดีต่อธุรกิจของ บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) ที่ประกอบธุรกิจด้านการปฏิบัติการดูแลบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และการถือหุ้นในบริษัทย่อย และ/หรือบริษัทร่วม (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน
โดย “จอมทรัพย์ โลจายะ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ระบุว่า กลุ่มบริษัทยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าตามแผนกลยุทธ์ที่ได้วางเป้าหมายไว้ ทั้งในเรื่องการขยายการลงทุนในธุรกิจหลักกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนต่างๆ โดยเน้นในประเทศไทย จากความต้องการใช้ไฟฟ้ายังมีปริมาณที่สูง รวมทั้งเดินหน้ามองหาโอกาสใหม่ เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคต และตั้งเป้ากำลังการผลิตรวมแตะระดับ 2,200 เมกะวัตต์ ภายในปี 2570
ซึ่งปัจจุบัน SUPER มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) จำนวน 2,169.39 เมกะวัตต์ จำนวน 204 โครงการ ขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 1,486.71 เมกะวัตต์ จำนวน 160 โครงการ
ส่วนโครงการการลงทุนในต่างประเทศ ปีนี้บริษัทเตรียม COD โรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ Soc Trang 30 เมกะวัตต์ คาดว่าจะ COD ในไตรมาส 2 -3 และโครงการ Bec Lieu ที่จะทยอย COD ในช่วงปลายปีนี้
และยังจะมีความร่วมมือกับพันธมิตรในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า ซึ่งอยู่ระหว่างเจรจาทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้