สัมภาษณ์พิเศษ : PCE วางโรดแมปอนาคตธุรกิจ สร้างโรงงานเพิ่ม ลดต้นทุนการผลิต แตกไลน์บุกตลาด Consumer Product
ราคาปาล์มน้ำมันปีนี้มีทิศทางขาขึ้นเมื่อเทียบกับหลายๆปีที่ผ่านมา ซึ่งราคาที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลอย่างต่อธุรกิจ และแนวโน้มธุรกิจในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มอย่างไร เราไปติดตามมุมมองนี้ กับ นายพรพิพัฒน์ ประสิทธิ์ศุภผล รองกรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ บมจ.เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทย
ธุรกิจของ PCE
บริษัทประกอบธุรกิจโดยการเข้าถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจหลัก 4 ธุรกิจ ดังนี้
1) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์ม น้ำมันไบโอดีเซล และน้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อการบริโภค ภายใต้แบรนด์ รินทิพย์
2) ธุรกิจให้บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ
3) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางรถ
4) กลุ่มธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าทางเรือ
โดยมีบริษัทย่อย 5 แห่ง ได้แก่ 1.บริษัทนิวไบโอดีเซล จำกัด 2.บริษัท พี.เค.มารีน เทรดดิ้ง จำกัด 3.บริษัท พี.ซี.มารีน (1992) จำกัด 4.บริษัทปาโก้ เทรดดิ้ง จำกัด 5. บริษัท เพรชศรีวิชัย จำกัด
ความแข็งแกร่งของบริษัทหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
หุ้นของบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย. 67 โดยเงินที่ได้รับจากการขายหุ้น นำมาลงทุนด้าน AI เพื่อช่วยคัดเลือกปาล์ม ลด Lose ของโรงกลั่นและโรงสกัด และบริษัทยังนำเงินบางส่วนไปสร้างโรงงาน ขยายกำลังการผลิต ให้มากกว่าเดิมอีก 1 เท่าตัว เพื่อรองรับผลปาล์มที่มีปริมาณมากขึ้น และนำเงินบางส่วนไปลงทุนในโรงสกัดใหม่ ที่เรามีเป้าหมายที่จะเพิ่มกำลังการผลิต
มองดีมานน้ำมันปาล์มในตลาด
ในตลาดมีความต้องการมากขึ้น เพราะน้ำมันปาล์ม เป็นส่วนประกอบในทุก sector Consumer เช่น การนำมาประกอบอาหาร เป็นพลังงาน ไบโอดีเซล เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง ซึ่งในทุกๆปีเกษตรกรไทยจะมีพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มขึ้นปีละ 5% ทำให้เราเห็นว่าในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ผลผลิตของน้ำมันปาล์มจะมีปริมาณมากขึ้น ทำให้เราต้องเตรียมตัว โดยการสร้างโรงงาน เพื่อรองรับผลผลิตที่มากขึ้น และ เพื่อไม่ให้เสียโอกาส
เกี่ยวกับธุรกิจด้านการขนส่ง
แม้สงครามการค้าจะส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้า แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อ PCE ในทางกลับกันกับเป็นผลดีที่บริษัทมีธุรกิจด้านโลจิสติกส์ของตัวเอง ทั้งด้านรถขนส่ง มีเรือส่งสินค้า มีคลังเก็บสินค้าของเราเอง ทำให้ธุรกิจยังเดินหน้าต่อไปได้
ปี 68 มีเป้าหมายอย่างไร
ปี 2568 คาดว่ารายได้จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 30,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 10% โดยมีแนวโน้มว่าการส่งออกน้ำมันปาล์มไปจีน และอินเดียยังคงเป็นไปในทิศทางที่ดี และบริษัทฯ เตรียมแผนขยายกำลังการผลิต เน้นเพิ่มมูลค่าสินค้า เพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย เพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่มีมากขึ้น รวมถึงให้ความสำคัญกับการพัฒนากลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาปรับใช้ รวมถึงได้ให้ความสำคัญต่อการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
แนวทางการรับมือกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ปัจจุบันสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูง การทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำที่สุดเป็นสิ่งที่สำคัญต่อบริษัท ทำให้บริษัทมีแนวคิดที่จะเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบ ( Law Material) ภายในกลุ่มบริษัทให้แตะที่ 75% จากปัจจุบันที่มีแค่ 25% ซึ่งคาดว่าแนวทางเพิ่มสัดส่วน Law Material ของบริษัทจะเห็นภาพภายในปี2568
ขณะเดียวกันบริษัทกำลังสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดกระบี่ เราจะเน้นการใช้เครื่องจักรในการผลิตทำให้ใช้แรงงานคนลดลง และทำให้ต้นทุนเราลดลง โดยปัจจุบันบริษัทมีพนักงานทั้งหมดประมาณ 1,000 คน
ซึ่งมาร์เก็ตแชร์ของเราในตลาดอยู่ที่ 30-40% ซึ่งหากบริษัทมีการขยายโรงงานและเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นในอนาคต คาดว่าจะทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของเราเป็น 50%
การสร้างโรงงานใหม่จะลดต้นทุนได้เท่าไร
หากสร้างโรงงานใหม่ได้ จะทำให้ต้นทุนลดลงได้ประมาณ 5% จากปัจจุบัน เนื่องจากเป็นโรงงานที่ใช้แรงงานคนน้อยมาก จะเน้นเรื่องของออโตเมติก
การรับมือกับคู่แข่งของบริษัท
จริงๆเรื่องคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากปัจจุบัน yield ในการผลิตสินค้าเริ่มใกล้เคียงกันแล้ว จึงอยู่ที่ว่าวิธีการเก็บผลผลิตเป็นอย่างไร ซึ่งหากดูการบริหารของบริษัทในอินโดนีเซียจะเป็นผู้บริหารระดับGEN 3 แล้ว ซึ่งจะมีการทำงานน้อยลง แต่ในประเทศไทยยังเป็น GEN2 ทำให้การปลูกปาล์มในประเทศไทย ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังมีการขยายพื้นที่เพาะปลูกไปในภาคอื่น เช่นอีสาน จากเดิมที่มีการปลูกแค่ในภาคใต้
แผนการลงทุนในช่วง 3 ปีข้างหน้า
เราตั้งเป้าว่าใน 3 ปีข้างหน้า เราจะไปทางธุรกิจที่มีการนำผลผลิตปาล์มไปในการทำเกี่ยวกับ Food และConsumer ให้มากขึ้น และสินค้าที่มี High margin product แต่เนื่องจากบริษัทชำนาญในเรื่องของผลิตภัณฑ์ แต่ไม่เก่งในด้านการทำตลาด ดังนั้นอาจจะต้องหาพันธมิตรที่สามารถมาเสริมจุดอ่อนของกันและกัน
เรารับมือกับมาตรฐานการส่งออกไปต่างประเทศอย่างไร
แนวทางที่สำคัญได้แก่
1. การปรับตัวให้เป็นไปตามมาตรฐานการส่งออกไปต่างประเทศ
2. ส่งออกน้ำมันใช้แล้ว ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดในยุโรป
3. ทำกิจกรรม CSR กับชุมชน เพื่อให้เกษตรกรมีการปรับตัวมากขึ้นให้เป็นตามมาตรฐานการส่งออก โดยบริษัทมีการสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุง
สำหรับตลาดส่งออกไปสหรัฐอเมริกา
เราวางแผนไว้อีกประมาณ 3 ปี จะส่งออกสินค้าที่มีการต่อยอดไปสหรัฐฯ หลังจากที่ปัจจุบันบริษัทสร้างโรงสกัดเสร็จ เพื่อทำให้ต้นทุนลดลง โดยการส่งออกเราจะเน้นไปในสินค้าประเทศ ส่วนผสมเครื่องสำอาง หรือส่วนผสมของยาง ส่วนผสมในอาหาร เช่น ช็อคโกแลต