Smart Investment

สปส.อ่วม!โกยซื้อหุ้น PTT-OR ก่อนราคาดิ่งทำนิวโลว์


15 มีนาคม 2566
by.พูเมซ่า

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนมีนาคม 2566 ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และหลุดระดับ 1,600 จุด ซึ่งปัจจัยที่มีอิทธิพลมาจากเรื่องความไม่เชื่อมั่นสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกา และทำให้เกิดความกังวลว่าจะลุกลามบานปลายแค่ไหน 
smart invest สปส.ดอดซื้อหุ้น PTT-OR เพิ่ม150323.jpg

ขณะที่บล.เอเซียพลัส ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยลงลึกเกิน...น่าทยอยสะสมหุ้นเพิ่ม โดย SET Index ถูกกดดันจากปัจจัยภายนอก อย่าง การล้มละลายของ SVB Bank กระจายวงกว้าง, ความกังวลเงินเฟ้อที่ยังยืนในระดับสูงนาน รวมถึงแรงกดดันจากการปรับประมาณการลง หลังเศรษฐกิจและกำไรบริษัทจดทะเบียนในงวด 4Q65 ออกมาต่ำกว่าคาด โดยวานนี้ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลงแรงอีก -49.18 จุด หรือ -3.13% เหลือ 1523 จุด ซึ่งเป็นการปรับลงภายในวันเดียวสูงสุดในรอบ 2 ปี 3 เดือน ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.03 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของปีนี้

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยฯ มีมุมมองว่า SET Index ลงลึกและเร็วเกินไป น่าจะดีดกลับได้ได้บ้าง อีกทั้งยังเป็นโซนที่น่าสะสมในเชิงพื้นฐาน ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังนี้

หุ้นไทยในสัปดาห์นี้ (13 – 14 มี.ค. 66) ปรับฐานลงมาแรงกว่า 76 จุด หรือ -4.7% รอบสัปดาห์ ซึ่งถือว่าลงมาลึกกว่าตลาดหุ้นโลกในหลายๆ ประเทศ มากเกินไป ขณะที่ตลาดหุ้นบางประเทศยังฟื้นมาจนให้ผลตอบแทนเป็นบวก เช่น NASDAQ +2.6%, S&P500 +1.5%

ปกติวันไหน SET ลงหนักเกิน 35 จุด วันถัดมามักจะฟื้นขึ้นมากกว่า 3 ใน 10ส่วนของที่ลง หรือเฉลี่ยฟื้นมาครึ่งหนึ่งของที่ลง สะท้อนได้จากสถิติในอดีตย้อนหลัง 5 ปี (ไม่นับช่วงเผชิญ COVID-19 หนักๆ หรือช่วง ม.ค. - มี.ค. 2563) วันที่ SET ปรับฐานลงมากกว่า 35 จุด วันถัดมามักจะมีการรีบาวน์เสมอ

ณ ดัชนีที่ 1523 จุด ในมุม Valuation ตลาดหุ้นไทย อยู่ในโซนน่าสะสมหุ้นมากขึ้น สะท้อนได้จาก SET Index ปรับตัวลงแรงในช่วง 2 วันที่ผ่านมากว่า 80 จุด กดดันให้ Tailing PE ลดระดับลงจาก 19.6 เท่าเหลือ 18.7 เท่า ถือว่าถูกกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 20.4 เท่า ในมุมมองของฝ่ายวิจัยฯ ที่ดัชนีปัจจุบันมี MEYG สูงถึง 4.52% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 4.2% อีกทั้งดัชนีปัจุบัน Upside ยังเปิดกว้างมากขึ้น เมื่อคำนวณจาก EPS66F 91.8 บาท/หุ้น คูณกับ PE66F ที่เหมาะสม 17.54 เท่า ที่ปรับลดลงมาค่อนข้างแรงในช่วงก่อนหน้า 99.2 บาท/หุ้น ได้ดัชนีเป้าหมายทีเหมาะสม 1610 จุด

สรุปคือ ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสดีดตัวกลับได้ หลังจากที่ปรับฐานแรงในช่วงที่ผ่านมาขณะที่ค่าเงินสหรัฐกลับมาอ่อนค่า และค่าเงินในเอเชีย รวมถึงบาทที่พลิกกลับมาแข็งค่าต่ำกว่า 35 บาท/เหรียญ อีกครั้ง หนุนต่างชาติที่ลงทุนในไทยมีโอกาสได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และตัดสินใจย้ายเม็ดเงินจากสหรัฐบางส่วนกลับมาสะสมตลาดหุ้นไทย

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำถือเงินสดบางส่วนราว 10 – 15% และเลือกหุ้นที่พื้นฐานแข็งแกร่ง กำไรเติบโตในอนาคตอย่าง JMT ORI GPSC รวมถึง AMATA ที่ฝ่ายวิจัยฯเพิ่งจะ Initial Coverage เป็นหุ้น Top picks

ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในส่วนการลงทุนของพอร์ตลงทุนของสำนักงานประกันสังคม(สปส.) โดยพบว่าในเดือนมีนาคม 2566 หุ้นที่อยู่ในพอร์ตลงทุนสปส.ได้มีการปิดสุมดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นแล้ว 8 บริษัทดังนี้

รายชื่อ จำนวนถือครอง มี.ค.66 (หุ้น) จำนวนถือครองปี65
TU 137,780,008 127,743,408
TISCO 9,174,730 13,862,530
SCB     90,074,440 90,074,440
PTT     503,269,619 440,198,900
OR 87,975,134 68,257,211
LPN     66,616,600 6,616,600
BCP 198,441,397 198,307,697
BCPG 19,733,134 19,733,134

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่า พอร์ตสปส.ได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นมีเพียง 2 แห่ง ประกอบด้วย หุ้น PTT ล่าสุดถือครอง 503,269,619 หุ้น จากเดิมที่ถือ 440,198,900 หุ้น และหุ้น OR ถือครอง  87,975,134 หุ้น จากเดิมที่เคย 68,257,211หุ้น 

เมื่อพิจารณาการเคลื่อนไหวราคาหุ้น PTTและOR ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงปัจจุบัน จะเห็นว่าราคาหุ้นปรับลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้น OR ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงระดับต่ำสุดตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 โดยระดับราคาต่ำสุดอยูที่ 19.80 บาท ณ วันที่ 14 มีนาคม 2566 โดยการเข้ามาลงทุนเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นของพอร์ตลงทุนของสปส.เข้ามาก่อนที่ราคาหุ้นจะปรับตัวลดลง ดังนั้นเมื่อราคาหุ้นปรับลดลงมูลค่าการถือครองในพอร์ตลงทุนก็ย่อมลดลงด้วยเช่นกัน