Talk of The Town

ช็อก! ตั้งแต่ต้นปีหุ้น CPALL โดนต่างชาติเทขายมากสุดกว่า 1 หมื่นลบ. สวนทาง KTB ต่างชาติซื้อสุทธิเยอะที่สุด


08 พฤษภาคม 2568

ช็อก! ตั้งแต่ต้นปีหุ้น CPALL_S2T (เว็บ)_0.jpg

ส่องการซื้อขายของนักลงทุนรายกลุ่มนับตั้งแต่ต้นปี 2568 ถึงวันที่ 7 พ.ค.68 พบว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสูงถึง 5 หมื่นล้านบาท ส่วนเดอะแบก คือ นักลงทุนรายย่อย ซื้อสุทธิหุ้นไทยกว่า 68,378 ล้านบาท

แต่ที่น่าสนใจ หากเข้าไปสำรวจการซื้อขายหุ้นรายบริษัทของนักลงทุนต่างชาติในช่วงเวลาเดียวกัน อ้างอิงบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) พบว่า CPALL คือหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากสุด มูลค่าสูงถึง 10,233.9 ล้านบาท ทิ้งห่างอันดับ 2 คือ AOT ที่ขายสุทธิราว 7,385 ล้านบาท ส่วนฝั่งซื้อสุทธิมากสุด คือ KTB มูลค่าที่ 6,071.9 ล้านบาท

หากเข้าไปสำรวจปัจจัยพื้นฐาน CPALL พบว่า นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ ซื้อ CPALL เนื่องจากกำไรที่เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและมูลค่าหุ้นน่าสนใจ โดยปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 68-69 สะท้อนยอดขายสินค้าพร้อมรับประทาน (RTE) และสินค้าพร้อมดื่ม (RTD) ที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) และอัตรากำไรขั้นต้น 

ขณะที่การขยายสาขาอย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่มยอดขายและการใช้ต้นทุนคงที่อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ฐานกำไรปีที่แล้วจะสูง แต่คาดว่าในปี 68  CPALL จะมีกำไรเติบโต 12% จากปีก่อน

อย่างไรก็ตามปรับลดสมมติฐานการเติบโตระยะยาว (terminal growth) เหลือ 1.5% ทำให้ราคาเป้าหมาย(DCF) ลดลงจาก 81.50 บาท เป็น 68 บาท

ทั้งนี้ CPALL มีแผนประกาศงบ วันที่ 13 พ.ค. 68 คาดว่ากำไรสุทธิไตรมาส 1/68 จะอยู่ที่ 6.95 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสไตรมาส 1/67 กำไรจะเติบโต 15% 

โดย SSSG ของร้านเซเว่นฯ ยังแข็งแกร่งที่ 3% แม้อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือน ก.พ. จะลดลงและมีฝนตกในเดือนมี.ค. ยอดขายสินค้า RTE และ RTD ยังเติบโตได้ดี ขณะที่ยอดขายบุหรี่ซึ่งมีอัตรากำไรต่ำ ยังคงลดลง 

ทั้งนี้คาดว่าในช่วงไตรมาส 1/68 บริษัทขยายสาขา 185 สาขา เพิ่มขึ้น 700 สาขา หรือเพิ่มขึ้น 4.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่าอัตรากำ ไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น เป็น 22.6% จากอัตรากำไรที่ดีขึ้นของธุรกิจร้านสะดวกซื้อค่าใช้จ่ายคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการเติบโตของยอดขาย และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายคาดว่าจะทรงตัวที่ 19.3% เป็นผลจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดี