SCB ประกาศงบไตรมาส 1/68 กวาดกำไรสุทธิ 1.25 หมื่นล้านบาท โต 10.8% คุมต้นทุนอยู่หมัด-ตั้งสำรองลดลง 6.2%
บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/68 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 12,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ผลประกอบการที่แข็งแกร่งเป็นผลมาจากการลดลงของค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน การลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น รายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นและกำไรจากการลงทุนและการค้าที่เพิ่มขึ้น แม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิจะปรับตัวลดลงจากผลของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัว
สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง โดยเฉพาะจากการขายผลิตภัณฑ์การลงทุนในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ค่าธรรมเนียมจากการขายประกันผ่านธนาคารยังคงอ่อนแอจากความเชื่อมั่นทำงธุรกิจที่ลดลง
ในขณะเดียวกัน ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวกับการให้สินเชื่อก็ปรับตัวลดลงตามทิศทางการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัวลง กำไรจากการลงทุนปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากกำไรจากพอร์ตเงินลงทุนของธนาคารและ SCB 10X ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและปีก่อนหน้า
โดยได้สะท้อนถึงการบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และการออกจากธุรกิจที่ขาดทุนของ Purple Ventures โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงมาอยู่ที่ 39.9% ในไตรมาส 1/68 จาก 42.7% ในไตรมาส 4/67 และ 42.1% ในไตรมาส 1/67
ด้านผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงจากปีก่อนหน้า อันเป็นผลจากการคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นของธนาคารและธุรกิจกลุ่ม Gen 2 โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก CardX แม้ว่าธุรกิจของ AutoX จะมีการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับปัจจุบันยังเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงจากลูกค้ารายย่อยที่มีความเปราะบาง
ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินนโยบายอย่างรอบคอบด้วยการตั้งสำรองพิเศษเพิ่มเติม (Management Overlay) จำนวน 700 ล้านบาท เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ระดับสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) ยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากไม่มีการขาย NPL จากเงื่อนไขราคาขายที่ไม่จูงใจ ประกอบกับโครงการ "คุณสู้ เราช่วย" ส่งผลให้ระดับ NPL ปรับเพิ่มขึ้นชั่วคราว
ขณะเดียวกัน การเติบโตของสินเชื่อยังคงอยู่ในระดับชะลอตัวทั้งในธุรกิจ Gen 1 และ Gen 2 สะท้อนถึงแนวทางการปล่อยสินเชื่อที่เน้นความระมัดระวังและการคัดเลือกอย่างรอบคอบ การขยายตัวของสินเชื่อของธนาคารส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ในส่วนของธุรกิจ Gen 2 การเติบโตมาจาก MONIX
นอกจากนี้ บริษัทตั้งสำรองลดลง 6.2% จากปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้นของธนาคารและธุรกิจกลุ่ม Gen 2 โดยเฉพาะจากบริษัท คาร์ด เอกซ์ จำกัด ทั้งนี้ ได้รวมสำรองพิเศษจากการประเมินเบื้องต้นเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) คงอยู่ในระดับสูงที่ 156%
ด้านนายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB กล่าวว่าปีนี้เริ่มต้นด้วยความท้าทายที่สำคัญ จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและความไม่แน่นอนอย่างสูงจากการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ บริษัทได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือลูกค้ารายย่อยและเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวอย่างทันท่วงที เช่น การพักชำระหนี้ และการให้สินเชื่อเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยและฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบ และคาดว่าผลกระทบต่อธุรกิจของกลุ่ม SCBX มีในวงจำกัด
สำหรับความเสี่ยงจากการขึ้นอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ นั้น บริษัทประเมินว่าจะทำให้ GDP ของประเทศปีนี้ลดลงเหลือ 1.5% และมีโอกาสทวีความรุนแรงมากกว่าคาดได้ บริษัทได้เตรียมความพร้อมเชิงรุก โดยติดตามสถานการณ์ของลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม และร่วมมือกับลูกค้าในการพัฒนาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม
แม้จะเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ ผลประกอบการไตรมาสแรกปี 2568 ของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่ง จากการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ที่รอบคอบ ซึ่งในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
อีกทั้งธุรกิจในกลุ่ม Gen 2 และ 3 มีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยต่อยอดผลประกอบการธุรกิจ Gen 1 บริษัทได้ประกาศจ่ายเงินปันผลจากผลประกอบการปีที่แล้วในอัตรา 80% และยังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาความเข้มแข็งทางการเงินเพื่อสนับสนุนลูกค้าและเศรษฐกิจไทย พร้อมกับเพิ่มมูลค่าผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง