จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : SFLEX ราคาหุ้นมีอัพไซค์ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.25 บาท


20 กุมภาพันธ์ 2566
บล. ทรีนีตี้ ระบุต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวลดลง และการเปลี่ยนกลยุทธ์มาเน้นขายสินค้าที่ให้  margin สูง หนุนหุ้น บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) ฟื้น  กำไรครึ่งแรกของปี 66 ดีต่อเนื่อง โดย Margin อยู่ระดับที่ 20% แนะนำ “ซื้อ”

รายงานพิเศษ SFLEX ราคาหุ้นมีอัพไซค์.jpg

บล. ทรีนีตี้  วิเคราะห์หุ้น STARFLEX – สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX)  โดยคาดกําไร 4Q65 อยู่ที่ 32 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้ง  YoY และ QoQ จากต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวลดลง และการเปลี่ยนกลยุทธ์มาเน้นขายสินค้าที่ให้  margin สูง

Earning Preview: คาดกำไร 4Q65 ฟื้นตัวเด่น ต้นทุนลด กำไรเพิ่ม
คาด SFLEX จะรายงานกำไร 4Q65 ฟื้นตัวมาที่ 32 ล้านบาท +11% YoY, +545% QoQ ต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวลดลง และการเปลี่ยนกลยุทธ์มาเน้นขายสินค้าที่ให้ margin สูง ซึ่งเป็นกลุ่ม Non Food ที่บริษัทมีความถนัดและเชี่ยวชาญ

คาด gross margin ขยายตัวมาอยู่ที่ 16.4% (12.8% ใน 4Q64 และ 10.8% ใน 3Q65) จากราคาวัตถุดิบหลักอย่างฟิล์มสำเร็จรูปที่ปรับตัวลดลง โดยราคา Film LLDPE ปรับลดลงกว่า 25%YoY และ 2% QoQ โดยปกติบริษัทมีการ stock วัตดุดิบประมาณ 2-3 เดือน ดังนั้นตั้งแต่ 4Q65 จะเริ่มเป็นวัตดุดิบที่มีต้นทุนต่ำ 

1H66 คาดกำไรยังดีต่อ Stock วัตถุดิบต้นทุนต่ำพร้อม
ประเมินแนวโน้มกำไร 1H66 จะยังดีต่อเนื่อง โดย Margin จะยังอยู่ระดับที่ 20% จากต้นทุนฟิล์มสำเร็จรูปที่อยู่ในระดับต่ำ เพราะบริษัทได้มีการ Stock ไว้อย่างน้อย 6 เดือน 

คาด 2566 กำไร New High ประมาณการกำไรปี 2566 ราว 188 ล้านบาท คิดเป็น EPS ที่ 0.21 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย CAGR ปี 2565-2567 ราว 201% ต่อปี จากรายได้ที่เติบโตต่อเนื่องขณะที่มองว่าอัตรากำไรฟื้นตัวมาอยู่ในระดับปกติ

New Journey 
คาดว่าจะมี M&A ในช่วง 2Q66 โดยบริษัทจะไปลงทุนในเวียดนาม ซึ่งนับว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และมีการเติบโตของการใช้ packaging ค่อยข้างสูง นอกจากนี้ฐานลูกค้ายังเป็นฐานลูกค้าในกลุ่มเดียวกัน บริษัทสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็น Flexible packaging ที่เป็นจุดแข็งของบริษัทได้ทันที นอกจากนี้ต้นทุนฟิล์มสำเร็จรูปของประเทศเวียดนามค่อนข้างต่ำซึ่งจะช่วยให้บริษัทมี Margin ที่สูงขึ้น

แนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 5.25 บาท 
แนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย 5.25 บาทต่อหุ้น (อิง PE 25 เท่า) เป็นการเติบโตจาก Organic Growth และ ยังมี upside ที่ยังไม่รวมในประมาณการปัจจุบัน จากการเข้าไปลงทุนในเวียดนาม โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนช่วง 2H66 

ทั้งนี้บล.ทรีนีตี้วิเคราะห์ว่าความเสี่ยงของบริษัทได้แก่  การเปลี่ยนแปลงของราคาต้นทุนวัตถุดิบ, ต้นทุนจากการผลิตสินค้าใหม่