จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : PTG ดันธุรกิจ Non Oil โต กระจายแหล่งสร้างรายได้รับ ศก.ผันผวน


14 ธันวาคม 2566
บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี  (PTG) ผลักดันธุรกิจ Non-Oil “กาแฟพันธุ์ไทย - ศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs”  สร้างรายได้เติบโตยั่งยืน รองรับภาวะเศรษฐกิจผันผวน   
รายงานพิเศษ PPTG copy.jpg

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี  (PTG) มั่นใจยอดขายน้ำมันปี 2566 จะเติบโตตามเป้าหมายที่ระดับ 10-15% เทียบกับปีก่อน หรือสูงกว่าตลาดโดยรวมที่คาดว่าจะขยายตัวเพียง 1% รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย รวมถึงการประกาศใช้นโยบายฟรีวีซ่าของภาครัฐ

อีกทั้ง บริษัทฯได้มีการขยายจำนวนและปรับปรุงสถานีบริการเข้าในพื้นที่ที่มีศักยภาพ และมีการเข้าใช้บริการซ้ำของกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตร PT Max Card และ PT Max Card Plus เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งยังคงวางเป้าการขยายสถานีบริการไว้เท่าเดิมคือ จำนวน 2,206 สถานีบริการในปี 2566

ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil ปีนี้ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว โดยวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ Non-Oil ไว้ที่ 50-60% ถือว่ายังอยู่ในระดับสูง ขณะที่สัดส่วนกำไรขั้นต้นยังคงเดิมที่ระดับ 20-30%

ในส่วนของธุรกิจก๊าซ LPG ยังคงสร้างการเติบโตจากปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ที่สูงเป็นประวัติการณ์และมียอดขายเกิน 100 ล้านลิตรถึง 8 ไตรมาสติดต่อกัน และบริษัทฯ มองว่าจะยังสามารถสร้างสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งคาดว่าเป้าหมายการเติบโตของยอดขายทั้งปีจะอยู่ที่ระดับ 30-40% เทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน โดย LPG ยังครองส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มบริการการจำหน่ายก๊าซ LPG ผ่านสถานีบริการเป็นอันดับที่ 1 ในงวด9 เดือนที่ผ่านมา
สำหรับธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากการขยายสาขา เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และการกลับมาใช้ซ้ำอย่างต่อเนื่องของสมาชิกบัตร PT Max Card และ PT Max Card Plus โดยปัจจุบันมีมากกว่า 20 ล้านสมาชิก และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงธุรกิจพลังงานทางเลือก เช่น จุดชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า Elex by EGAT Max ที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อครอบคลุมเส้นทางในกรุงเทพฯ และเส้นทางหลักทั่วประเทศมากขึ้น

ด้านศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs ปัจจุบันมีจำนวน 59 สาขา เพิ่มขึ้น 14 สาขา จากต้นปี 2566 โดย Autobacs ยังคงมีรายได้ที่เติบโตอย่างเป็นสาระสำคัญจากการออกแคมเปญการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้าตามฤดูกาล ส่วนแผนขยายสาขายังคงมีอย่างต่อเนื่องและคาดว่าจะมีจำนวนสาขาครอบคลุมเป็นอันดับ 2 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ภายในสิ้นปีนี้

บริษัทฯ คาดว่ายอดขายไตรมาส 4/2566 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสที่จะทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจน้ำมัน และเป็นฤดูกาลของการเดินทางท่องเที่ยวและเก็บเกี่ยวผลผลิตทำให้มีปริมาณความต้องการใช้กลับมาอีกครั้ง ส่งผลให้มีปริมาณขายน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับค่าการตลาดน้ำมันที่มีการฟื้นตัวดีขึ้น โดยคาดว่าทั้งปีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.7-1.8 บาทต่อลิตร มั่นใจว่ายอดขายน้ำมันปีนี้จะเติบโต 10-15% ตามเป้าหมาย  ดันมาร์เก็ตแชร์ทะลุ 20% จากไตรมาส 3/2566 อยู่ที่ 19.2% 

ขณะเดียวกัน ในอนาคตบริษัทเตรียมลงทุนในธุรกิจพลังงานทางเลือก  เห็นได้จากการเติบโตของผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยยอดสะสมยานยนต์ไฟฟ้าจดทะเบียนเฉพาะกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคลมีจำนวนกว่า 57,000 คัน (เพิ่มขึ้นกว่า 500% เทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า) บริษัทฯ จึงเล็งเห็นความสำคัญในกลุ่มที่ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างมาก และได้ขยายจุดชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า Elex by EGAT Max ที่ได้ร่วมกับ กฟผ.อย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าในปีนี้จะมี 62 จุดชาร์จเพื่อครอบคลุมเส้นทางหลักทั่วประเทศ

บล.กรุงศรีพัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัทมีมุมมอง neutral ต่อการ analyst meeting โดยสรุปประเด็น สำคัญ  ได้แก่ 
1)    4Q23F outlook ด้านกำไรสุทธิน่าจะเป็นไตรมาสทดีที่สุดขอวปีนี้ โดยสถานการณ์ค่าการตลาด QTD ดีขึ้น น่าจะทำให้ประมาณการกำไรสุทธิ 2023F ที่ 810 (-12% y-y) เป็นไปได้
2)    ปรับลดเป้าการขยายสาขา Punthai กดดันให้กำรเติบโตของรายได้และกำไรกลุ่ม non-oil ปี 2023-24F ต่ำกว่าแผนเดิม 
3)    ลดงบลงทุนปี 2023F ลงเหลือ 3.0-4.0 พันลบ. เพื่อบริหารสภาพคลอ่ ง และรอประกาศการขยายสู่ธุรกิจใหม่ในช่วง 1Q24F  ซึ่งเป็นกลุ่มที่เป็น recurring income เพื่อลดความผันผวนใน oil business
4)    แนวโน้มค่าแรงขั้นต่ำ ที่อาจปรับเพิ่มขึ้นปีหน้า อาจเป็น overhang ของกำไรสุทธิ 2024F หากการผลักต้นทุน ไปยังค่าการตลาดที่เพิ่มขึ้นไม่สามารถทำได้ทั้งหมด 
5)    แผนการ spin off ธุรกิจ LPG เลื่อนไปปีหน้า สำหรับ Palm  complex เลื่อนไปอย่างน้อย 2 ปี เราคงแนะนำ  Trading Buy ที่ TP24F = 10.0 บาท 
เรายังคงคำแนะนำ wait and see จนกว่าสถานการณด้านค่าการตลาดน้ำมันจะทรงตัวในระดับปกติได้ในระยะหนึ่ง รวมถึงความชัดเจนเรื่องค่าแรงขั้นต่ำที่จะปรับเพิ่มขึ้น
PTG