ทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับลดลง เป็น Sentiment เชิงบวก ต่อ บมจ.มีนาทรานสปอร์ต (MENA) ขณะที่ผู้บริหารมั่นใจแนวโน้มธุรกิจและผลการดำเนินงานครึ่งปีหลัง มีโอกาสเติบโตอย่างโดดเด่นมากกว่าครึ่งปีแรก
บล.ทิสโก้ วิเคราะห์หุ้น บมจ.มีนาทรานสปอร์ต (MENA) ระบุทิศทางธุรกิจยังเติบโตตามแผน ได้อานิสงส์น้ำมันขาลงเป็น Sentiment เชิงบวก เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของ MENA ทั้งแผนการขยาย Fleet เชิงรุกที่คาดว่า จะขยายได้สำเร็จ 119 คัน (จากแผนเดิมเมื่อต้นปี ที่ 100 คัน) สะท้อนอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและความสามารถในการแย่ง Market Share ได้ต่อเนื่อง
ส่วนธุรกิจ JV ก็มีผลการดำเนินงานที่ดี (มีกำไรตั้งแต่เดือนแรกที่ให้บริการ) และปัจจุบันได้ให้บริการสาขาของ CJ More ครบ 100% แล้ว ขณะที่คาดว่าจะให้บริการสาขาของถูกดีครบ 100% ได้ภายในเดือน ก.ย. นี้ เช่นกัน อีกทั้งยังได้ อานิสงส์จากแนวโน้มราคาน้ำมันขาลงที่จะช่วยให้การบริหารจัดการง่ายขึ้น (ได้รับประโยชน์จากส่วนต่างระยะสั้นราว 1 เดือน ) เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” คาดกำไรสุทธิเติบโต 30% CAGR ในช่วง 2023-25F
รายได้จะเร่งตัวขึ้นในช่วง 2H23F จากการขยาย Fleet รถ Mixer เชิงรุก
เราคาดรายได้จะเร่งตัวขึ้น HoH จากการขยาย Fleet โดยแม้จำนวน Fleet ณ สิ้น 2Q23 อยู่ที่ 606 คัน ลดลงจาก 633 คันใน 1Q23 เพราะมีการนำไปจัดตั้ง TDM 58 คันในช่วง พ.ค. ที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันรถ Mixer ได้เพิ่มขึ้นเป็น 541 คัน เพิ่มขึ้น 15% คัน จากต้นปีที่ 472 คันโดย Fleet รถที่ขยายส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 2Q23 จะเริ่มรับรู้รายได้เต็มประสิทธิภาพในช่วง 3Q23 เป็นต้นไป โดยสิ้นปี 2023F จะมี Fleet ทั้งหมด 671 คัน ส่วนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะไม่มีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายของ MENA อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากรายได้ของพนักงานขับรถของ MENA อยู่ในระดับสูงกว่า
ผลประกอบการจะเร่งตัวขึ้นในช่วง 2H23F
ผลการดำเนินงานของ TDM มีกำไรตั้งแต่เดือนแรกที่เริ่มกิจการและปัจจุบันได้ดำเนินการขนส่งให้กับ CJ More ทั้งหมดแล้ว (ราว 1,100 สาขา เปิดเพิ่ม 250 สาขาในปี 2023) ส่วนสาขาของถูกดี (ราว 5,000 สาขา แผนเปิดเพิ่ม 8,000 สาขาในปี 2023) จะเริ่มให้บริการครบภายในเดือนก.ย. นี้ ส่วนการขนส่งเหล้าและเบียร์คาดจะทำให้รายได้ของ TDM เร่งตัวขึ้นในช่วง 4Q23 เป็นต้นไป โดยปัจจุบัน Fleet ของ TDM อยู่ที่ 524 คัน เป็น Own Fleet 184 คันและ Outsource 340 คัน
เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2023F ที่ 73 ล้านบาท (+44% YoY) โดยคาดกำไรสุทธิจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ ใน 3Q-4Q23F. เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายปี 2024 ที่ 2.76 บาท โดยใช้ P/E ที่ 21.1 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของกลุ่ม Logistics ขนาดเล็กในช่วงปี 2015-2022 ความเสี่ยงได้แก่ ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้น, การขยายงานของ TDM ไม่เป็นไปตามแผนและอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์หดตัว
ขณะที่ผู้บริหาร MENA “สุวรรณา ขจรวุฒิเดช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เชื่อว่าแนวโน้มทิศทางธุรกิจและผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง มีโอกาสเติบโตอย่างโดดเด่นมากกว่าครึ่งปีแรก ทั้งรายได้และกำไร เนื่องจากธุรกิจโลจิสติกส์มีแนวโน้มสดใส ส่งผลทำให้ธุรกิจให้บริการขนส่งรถคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถผสมคอนกรีตหรือรถมิกเซอร์ (Mixer) รวมถึงการขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเฉพาะทาง และสินค้าควบคุมอุณหภูมิขยายตัวตาม
นอกจากนี้ การเติบโตยังมาจากบริษัทร่วมทุน คือ ทีดี เอ็มลอจิสติกส์ จำกัด (TDM) ที่ได้เริ่มให้บริการขนส่งสินค้าและกระจายสินค้าไปยังร้านค้าในเครือ CJ ทั่วประเทศ ซึ่งผลประกอบการมีกำไรตั้งแต่แรกที่เริ่มดำเนินธุรกิจในเดือนพ.ค.66 โดยบริษัทฯ จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก TDM เข้ามาเต็มไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 3/66 เป็นต้นไป ประกอบกับครึ่งปีหลังเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนรุกขยายงานขนส่งให้ครอบคลุมในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าในตลาดเฉพาะทางที่มีความเติบโตอย่างต่อเนื่องให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงเดินหน้าขยาย Fleet ธุรกิจ Mixer อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้รายได้ปีนี้เติบโตตามเป้าไม่ต่ำกว่า 15%
“จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ที่จะมีการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมัน มองว่าส่งผลดีต่อกลุ่มโลจิสติกส์ และบริการขนส่ง เพราะทำให้ต้นทุนปรับตัวลดลงในทันที รวมถึงราคาสินค้าที่จะปรับตัวลดลงตาม ช่วยให้เกิดการสั่งซื้อมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณงานขนส่งเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจขนส่งสินค้าทุกประเภททั้งซีเมนต์ คอนกรีต สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเฉพาะทาง และสินค้าควบคุมอุณหภูมิยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง รวมเริ่มทยอยรับรู้กำไรจาก TDM ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมธุรกิจ ที่จะช่วยสนับสนุนให้รายได้ และกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ" นางสุวรรณา กล่าว
บล.ทิสโก้ วิเคราะห์หุ้น บมจ.มีนาทรานสปอร์ต (MENA) ระบุทิศทางธุรกิจยังเติบโตตามแผน ได้อานิสงส์น้ำมันขาลงเป็น Sentiment เชิงบวก เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของ MENA ทั้งแผนการขยาย Fleet เชิงรุกที่คาดว่า จะขยายได้สำเร็จ 119 คัน (จากแผนเดิมเมื่อต้นปี ที่ 100 คัน) สะท้อนอุปสงค์ที่แข็งแกร่งและความสามารถในการแย่ง Market Share ได้ต่อเนื่อง
ส่วนธุรกิจ JV ก็มีผลการดำเนินงานที่ดี (มีกำไรตั้งแต่เดือนแรกที่ให้บริการ) และปัจจุบันได้ให้บริการสาขาของ CJ More ครบ 100% แล้ว ขณะที่คาดว่าจะให้บริการสาขาของถูกดีครบ 100% ได้ภายในเดือน ก.ย. นี้ เช่นกัน อีกทั้งยังได้ อานิสงส์จากแนวโน้มราคาน้ำมันขาลงที่จะช่วยให้การบริหารจัดการง่ายขึ้น (ได้รับประโยชน์จากส่วนต่างระยะสั้นราว 1 เดือน ) เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” คาดกำไรสุทธิเติบโต 30% CAGR ในช่วง 2023-25F
รายได้จะเร่งตัวขึ้นในช่วง 2H23F จากการขยาย Fleet รถ Mixer เชิงรุก
เราคาดรายได้จะเร่งตัวขึ้น HoH จากการขยาย Fleet โดยแม้จำนวน Fleet ณ สิ้น 2Q23 อยู่ที่ 606 คัน ลดลงจาก 633 คันใน 1Q23 เพราะมีการนำไปจัดตั้ง TDM 58 คันในช่วง พ.ค. ที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันรถ Mixer ได้เพิ่มขึ้นเป็น 541 คัน เพิ่มขึ้น 15% คัน จากต้นปีที่ 472 คันโดย Fleet รถที่ขยายส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 2Q23 จะเริ่มรับรู้รายได้เต็มประสิทธิภาพในช่วง 3Q23 เป็นต้นไป โดยสิ้นปี 2023F จะมี Fleet ทั้งหมด 671 คัน ส่วนการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะไม่มีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายของ MENA อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากรายได้ของพนักงานขับรถของ MENA อยู่ในระดับสูงกว่า
ผลประกอบการจะเร่งตัวขึ้นในช่วง 2H23F
ผลการดำเนินงานของ TDM มีกำไรตั้งแต่เดือนแรกที่เริ่มกิจการและปัจจุบันได้ดำเนินการขนส่งให้กับ CJ More ทั้งหมดแล้ว (ราว 1,100 สาขา เปิดเพิ่ม 250 สาขาในปี 2023) ส่วนสาขาของถูกดี (ราว 5,000 สาขา แผนเปิดเพิ่ม 8,000 สาขาในปี 2023) จะเริ่มให้บริการครบภายในเดือนก.ย. นี้ ส่วนการขนส่งเหล้าและเบียร์คาดจะทำให้รายได้ของ TDM เร่งตัวขึ้นในช่วง 4Q23 เป็นต้นไป โดยปัจจุบัน Fleet ของ TDM อยู่ที่ 524 คัน เป็น Own Fleet 184 คันและ Outsource 340 คัน
เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2023F ที่ 73 ล้านบาท (+44% YoY) โดยคาดกำไรสุทธิจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ ใน 3Q-4Q23F. เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายปี 2024 ที่ 2.76 บาท โดยใช้ P/E ที่ 21.1 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของกลุ่ม Logistics ขนาดเล็กในช่วงปี 2015-2022 ความเสี่ยงได้แก่ ราคาน้ำมันดีเซลปรับเพิ่มขึ้น, การขยายงานของ TDM ไม่เป็นไปตามแผนและอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์หดตัว
ขณะที่ผู้บริหาร MENA “สุวรรณา ขจรวุฒิเดช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เชื่อว่าแนวโน้มทิศทางธุรกิจและผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง มีโอกาสเติบโตอย่างโดดเด่นมากกว่าครึ่งปีแรก ทั้งรายได้และกำไร เนื่องจากธุรกิจโลจิสติกส์มีแนวโน้มสดใส ส่งผลทำให้ธุรกิจให้บริการขนส่งรถคอนกรีตผสมเสร็จด้วยรถผสมคอนกรีตหรือรถมิกเซอร์ (Mixer) รวมถึงการขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเฉพาะทาง และสินค้าควบคุมอุณหภูมิขยายตัวตาม
นอกจากนี้ การเติบโตยังมาจากบริษัทร่วมทุน คือ ทีดี เอ็มลอจิสติกส์ จำกัด (TDM) ที่ได้เริ่มให้บริการขนส่งสินค้าและกระจายสินค้าไปยังร้านค้าในเครือ CJ ทั่วประเทศ ซึ่งผลประกอบการมีกำไรตั้งแต่แรกที่เริ่มดำเนินธุรกิจในเดือนพ.ค.66 โดยบริษัทฯ จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก TDM เข้ามาเต็มไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 3/66 เป็นต้นไป ประกอบกับครึ่งปีหลังเป็นช่วง High Season ของธุรกิจ
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนรุกขยายงานขนส่งให้ครอบคลุมในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการขนส่งสินค้าในตลาดเฉพาะทางที่มีความเติบโตอย่างต่อเนื่องให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงเดินหน้าขยาย Fleet ธุรกิจ Mixer อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้รายได้ปีนี้เติบโตตามเป้าไม่ต่ำกว่า 15%
“จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ที่จะมีการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมัน มองว่าส่งผลดีต่อกลุ่มโลจิสติกส์ และบริการขนส่ง เพราะทำให้ต้นทุนปรับตัวลดลงในทันที รวมถึงราคาสินค้าที่จะปรับตัวลดลงตาม ช่วยให้เกิดการสั่งซื้อมากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณงานขนส่งเพิ่มขึ้น ขณะที่ธุรกิจขนส่งสินค้าทุกประเภททั้งซีเมนต์ คอนกรีต สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าเฉพาะทาง และสินค้าควบคุมอุณหภูมิยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง รวมเริ่มทยอยรับรู้กำไรจาก TDM ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมธุรกิจ ที่จะช่วยสนับสนุนให้รายได้ และกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ" นางสุวรรณา กล่าว
ที่เกี่ยวข้อง
