Smart Investment

"นิติ โอสถานุเคราะห์" เก็บหุ้น MINT เพิ่ม ดันถือครองสูงสุดรอบ 19 ปี


20 กันยายน 2566

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายเดือนกันยายน 2566 ยังคงมีแนวโน้มขาลงแม้รัฐบาลใหม่ของนายกฯเศรษฐา ประกาศนโยบายออกมาแล้ว ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายต่อเนื่อง ซึ่งบล.เอเซียพลัส ประเมินว่า ผลการประชุมครม.ที่ผ่านมามีนโยบายออกมามากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เน้นไปที่การช่วยเหลือภาคประชาชน ลดค่าครองชีพ และกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลัก หนุนให้เศรษฐกิจตั้งแต่ 2H66 เติบโตเป็นขั้นบันได ขณะที่กลุ่มหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ AGRI FIN TOURISM TRANS COMM FOOD เป็นต้น คาดทำให้ SET Index มี Momentum ปรับขึ้นได้ในอนาคต 

 smart invest เกาะติดพอร์ต นิติ โอสถานุเคราะห์  6.6 หม.jpg

สำหรับการเก็บภาษีหุ้นต่างประเทศ อาจจูงใจให้นักลงทุนสนใจกองทุน FIF, DR รวมถึงหนุนสภาพคล่องหุ้นไทยเพิ่มขึ้นด้วย และให้น้ำหนักกับผลิตภัณฑ์การลงทุนในประเทศมากขึ้น ไม่ว่า กองทุน FIF, DR, DRx รวมถึงหุ้นไทยเอง อาจจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีพอดี

ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนของพอร์ตการลงทุนในหุ้นของ"นิติ โอสถานุเคราะห์"ในฐานะนักลงทุนรายใหญ่ชื่อดัง ที่เป็นที่รู้จักในวงการตลาดหุ้นไทย โดยปัจจุบันมีการถือครองหุ้นจำนวน ในเดือนกันยายน 2566 พบว่าได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นจำนวน 8 บริษัท และมีมูลค่าพอร์ตลงทุนรวมกว่า 6.6 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย

หุ้น

จำนวน(ล้านหุ้น)

มูลค่า(ลบ.)

BKI

2.22

698

CENTEL

41.31

1,972

CPALL

138.98

8,895

CPN

83.23

5,555

HMPRO

665.76

8,921

MINT

537.09

17,052

OSP

723.09

20,608

WHA

436.43

2,334

รวม

 

66,039


ทั้งนี้ เมื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาเปรียบเทียบสัดส่วนการถือครองหุ้น พบว่าณ วันที่ 1 กันยายน 2566 "นิติ โอสถานุเคราะห์" ได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้น MINT โดยล่าสุดถือหุ้น 537,090,652 หุ้นคิดเป็น 9.60% เพิ่มขึ้นจากการปิดสมุดทะเบียนในครั้งก่อนที่เคยถือหุ้น 497,600,851หุ้นคิดเป็น 9.35% ขณะที่การถือครองหุ้นล่าสุดยังพบว่าเป็นสัดส่วนถือครองที่สูงสุดในรอบ 19 ปี

สำหรับการเพิ่มสัดส่วนในครั้งนี้ถือว่าเป็นจังหวะที่ดี เนื่องจากรัฐบาลเศรษฐา ได้มีการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยออกมาตรการ'วีซ่าฟรีชั่วคราว' สำหรับนักท่องเที่ยวจีน-คาซัคสถาน ระยะเวลา 5 เดือน เริ่ม 25 กันยายน 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โรงแรม อาหาร น่าจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่

สำหรับประวัติการถือครองหุ้น MINT ของ"นิติ โอสถานุเคราะห์"  ดังนี้

ปี

 จำนวน(หุ้น)

%ถือครอง

2566

537,090,652

9.6

2565

497,600,851

9.54

2564

495,800,851

9.55

2563

492,650,851

9.51

2562

365,954,851

7.92

2561

365,954,851

7.92

2560

346,595,097

7.86

2559

346,595,097

7.87

2558

315,086,452

7.87

2557

315,086,452

7.87

2556

313,486,452

7.94

2555

259,079,714

7.91

2554

259,079,714

7.93

2553

259,079,714

7.96

2552

247,968,414

7.65

2551

200,901,997

6.31

2550

182,610,125

6.25

2549

182,610,125

6.38

2548

171,043,247

6.41

2547

39,746,525

8.49



 ขณะที่บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) แนะนำการลงทุนหุ้น MINT โดยให้เป็นหุ้น Top Pick ของกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม ประเมินราคาเป้าหมายที่ระดับ44บาทต่อหุ้น โดยกลยุทธ์การลงทุนยังเน้นไปที่การทำกำไรเมื่อหุ้นปรับขึ้นสูง และเลือกลงทุนในหุ้นที่ Laggard กลุ่ม และ Valuation ยังไม่แพงเช่นเดิม ซึ่งเราเลือก MINT (TP@44.00) เป็นตัวแทนดังกล่าว

หุ้นเด่นในกลุ่มเราเลือก MINT (TP@44.00) ราคาหุ้น Laggard กลุ่มชัดเจน แต่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวเด่นของนักท่องเที่ยวจีนเช่นกัน เนื่องจากโรงแรมในไทยคิดเป็น 10-15% ของรายได้ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารในไทย 60% ของรายได้ธุรกิจอาหาร

บล.เคจีไอ ระบุแนะนำซื้อ MINT ราคาเป้าหมาย 45.00 บาท คาดโมเมนตัมกำไรสุทธิแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 2H66F โดยเราคาดผลการดำเนินงานของ MINT แข็งแกร่งต่อเนื่องใน 2H66F โดยกำไรพุ่งขึ้น 99% HoH หนุนจากตามผลของฤดูกาลท่องเที่ยวในยุโรป ซึ่งโดยปกติไตรมาสที่หนึ่งเป็นช่วง low season ขณะที่การกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศไทยจะเป็นปัจจัยหนุนหลักให้กับธุรกิจของ MINT ในประเทศไทย ซึ่งคิดเป็นราว 23% ของรายได้รวมใน 1H66

ในส่วนธุรกิจโรงแรม เราคาดผลการดำเนินงานธุรกิจโรงแรมของ MINT ยังคงแข็งแกร่งใน 3Q66F ได้แรงหนุนจากผลประกอบการแข็งแกร่งจากโรงแรมในยุโรปด้วยอัตราการเข้าพัก (occupancy rate) เดือนกรกฎาคมสูงถึง 70% ขณะที่ อุปสงค์จากทั้งทางธุรกิจและการท่องเที่ยว ยังคงเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เราประมาณการ occupancy rate ของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเองและเช่าบริหาร อยู่ที่ 65% ในปี 2566F และเพิ่มขึ้นเป็น 67% ในปี 2567F ส่วน อัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ARR) คาดเพิ่มขึ้น 12% ในปี 2566F และ 1% ปี 2567F ได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมในประเทศไท

ธุรกิจร้านอาหาร: อัตราการเติบโตของรายได้ในสาขาเดิม (Same store-sales growth :SSSG) ในเดือนกรกฎาคมแข็งแกร่ง จากร้านอาหารในประเทศจีนกลับมาเปิดดำเนินการได้อีกครั้งหนุนให้ SSSG เติบโต 12% YoY ขณะที่เราคาด SSSG ที่ 8% ในปี 2566F และ 3% ปี 2567F

ทั้งนี้ เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิของ MINT ปี 2566F ขึ้น 7% อยู่ที่ 6.81 พันล้านบาทเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยและรายได้อื่น ๆ อย่างไรก็ตาม เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2567F ลง 6% อยู่ที่ 7.16 พันล้านบาทตามการปรับลดรายได้ลง 4% เป็น 1.470 แสนล้านบาทจากธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก เราคงคำแนะนำซื้อหุ้น MINT และขยับราคาเป้าหมายใหม่ไปเป็นปี 2567 อยู่ที่ 45.00 บาทจากเดิม 43.00 บาทอิงจาก EV/EBITDA ที่ 12.1x หรือเท่ากับค่าเฉลี่ยระยะยาว ทั้งนี้ MINT สามารถฟื้นตัวได้จากสถานการณ์โรค COVID-19 รวดเร็วกว่ารายอื่นในธุรกิจเดียวกัน และเราคาดว่าบริษัทจะจ่ายเงินปันผลได้ที่อัตราผลตอบแทน 0.9% ในปี 2566F และที่ 1.3% ในปี 2567F