Gossip Station..by เจ๊จิ๋ม

เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 20-09-23


20 กันยายน 2566
เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 20-09-23

20-09-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ   

***วันนี้มาเริ่มกันที่ มติ ครม. ที่สำคัญคือการอนุมัติลดค่าไฟงวดใหม่เหลือ 3.99 บาท และกำลังหาแนวทางลดค่าน้ำมันเบนซิน ต่อเรื่องนี้วงการหุ้นต่างมองว่าส่งผลลบต่อกลุ่มโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะกลุ่มที่มีฐานลูกค้าอุตสาหกรรมสูง อาทิ GPSC (36-38% ของปริมาณจำหน่ายไฟรวม) BGRIM (26-28% ของปริมาณจำหน่ายไฟรวม) แนะนำในระยะสั้นหลีกเลี่ยงไปก่อน แต่กระทบต่อ GULF (< 9% ของปริมาณจำหน่ายไฟรวม)  มองค่อยๆตั้งรับได้ 

***แต่ในทางตรงกันข้าม..เรื่องนี้ส่งผลบวกต่อกลุ่มค้าปลีก (ค่าไฟ 0.7-2.8% ของต้นทุน) CPAXT สื่อสาร (ค่าไฟ 2-3% ของต้นทุน) ADVANC TRUE โรงแรม (ค่าไฟ 6-10% ของต้นทุน) ERW 

***ด้านเซียนหุ้นอีกรายมองเหมือนกันคือส่งผลลบ จากความไม่ชัดเจนต่อวิธีการปรับลดค่าไฟฟ้าซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้โรงไฟฟ้า SPP จากราคาขายไฟฟ้าที่ลดลงมากกว่าเดิมจากเรทอ้างอิง 4.10 บาท/หน่วย ลงเป็น 3.99 บาท/หน่วย คาดเป็นปัจจัย overhang จนกว่าจะเห็นรายละเอียดที่ชัดเจนต่อแนวทางการจัดการค่าไฟฟ้ารวมถึงต้นทุน ของรัฐในระยะสั้นและระยะยาว อย่างไรก้อตามยังน้ำหนักการลงทุนกลุ่มโรงไฟฟ้า “Underweight” โดยหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากมากไปน้อยตามสัดส่วนลูกค้า อุตสาหกรรมที่มีคือ GPSC (ซื้อ/เป้า 80.00 บาท), BGRIM (ซื้อ/เป้า 50.00 บาท), GULF (ซื้อ/เป้า 60.00 บาท) 

***โดยสรุปรวมแล้ว ครม.มีนโยบายที่จะช่วยเหลือประชาชน เพื่อที่จะเร่ง GDP Growth โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 
1. เปิดสนามบินเชียงใหม่ 24 ชั่วโมง เริ่ม 1 พ.ย.66 
2. ลดค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมเหลือ 3.99 บาท/หน่วย งวด ก.ย.66-ธ.ค.66 (อาจเข้า บอร์ด กกพ. พิจารณา 20 ก.ย.66) 
3. ลดน้ำมันเบนซิน / ดีเซล 
4. พักหนี้เกษตรกรและ SME เสนอครม. ก.ย. 66 
5. ค่ารถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย เสนอครม. ต.ค. 66 (เริ่มนำร่อง ม.ค. 67 ใน รถไฟฟ้าสายสีแดง และ ม่วง) 
6. Digital Wallet 10,000 บาท ชี้แจงวงเงิน + ที่มาเงินทุน ภายใน 10 วันนับจาก นี้ (เริ่มใช้จ่าย 1Q67) 
7. ค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน เสนอครม พ.ย. 66 (มีผลบังคับใช้ 1 ม.ค.67) 

***โดยภาพรวมคือ นโยบายส่วนใหญ่เน้นไปที่การช่วยเหลือประชาชน และกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นหลัก คาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจโตได้ดีกว่าที่คาดไว้ ถือเป็น Sentiment ที่ดีต่อตลาดหุ้น กูรูหุ้นระบุว่าจากสถิติในอดีตบ่งชี้ว่าหาก GDP ไทยช่วงปีที่โตมากกว่า 5% หนุน RETURN SET INDEX เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 37% (ข้อมูล ตั้งแต่ปี 2543 – ปัจจุบัน) ซึ่งกลุ่มหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ AGRI FIN TOURISM TRANS COMM FOOD เป็นต้น

***แต่ภาพโดยรวมของสัปดาห์นี้ไม่รู้ว่าตลาดหุ้นไทยของเราจะไปได้มากน้อยแค่ไหน เพราะค่อนข้างให้น้ำหนักเรื่องการประชุมของธนาคาร ธนาคารกลางต่างๆ ที่สำคัญดังนี้  
-การประชุม Fed ในวันที่ 20 ก.ย. 66 (21 ก.ย. เวลา 1:00 น. ตามประเทศไทย) Consensus คาดว่า Fed จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.5% สอดคล้องกับการสำรวจ ของ Fed Watch Tool ที่ให้น้ำหนักสูงถึง 99% และอาจเห็นวัฏจักรดอกเบี้ยขา ขึ้นหยุดลงไปจนถึงต้นปีหน้า
-การประชุม BOE ในวันที่ 21 ก.ย. 66 (เวลา 18:00 น. ตามประเทศไทย) Consensus คาดว่า BOE จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 5.5% หลังเงิน เฟ้อยังห่างไกลจากกรอบเป้าหมาย 2% (เงินเฟ้อ ก.ค. +6.8%YoY) รวมถึง เงินเฟ้อเดือน ส.ค. อาจเห็นการขยับขึ้นไปที่ +7.0%YoY 
-การประชุม BOJ ในวันที่ 22 ก.ย. 66 Consensus คาดว่า BOJ จะยังคง ดอกเบี้ยไว้ที่ -0.1% อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นที่ 2567 มีโอกาสที่ BOJ จะ ดำเนินนโยบายการเงินที่เข้างวดขึ้น หลังเงินเฟ้อกระโดดขึ้น  

***สำหรับเจ๊ในฐานะนักลงทุนตอนนี้ที่ทำได้คือ *wait and see.*