จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : ธุรกิจการแพทย์และความงาม “ดาวเด่น” ครึ่งหลังปี 65 ติดปีก “KLINIQ” เข้าเทรดตลาด mai


26 ตุลาคม 2565

“ธุรกิจการแพทย์และความงาม” ยังคงครองอันดับ 1 ของธุรกิจเด่นในช่วงครึ่งหลังปี 2565 จากกระแสการให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพ และการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ หนุนการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของ บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (KLINIQ)

นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึง 10 ธุรกิจเด่น ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ว่า ผลการสำรวจผู้ประกอบการรายสาขา, ผลสำรวจสถานภาพธุรกิจไทย และผลสำรวจปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ ประกอบกับข้อมูลทุติยภูมิต่างๆ เช่น ข้อมูลการนำเข้า-ส่งออก, ข้อมูลสินเชื่อธนาคารพาณิชย์, ดัชนีราคาผู้บริโภค, ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม, ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ได้มีเกณฑ์การให้คะแนนธุรกิจใน 5 ด้านรวม 100 คะแนน ประกอบด้วย ยอดขาย, ต้นทุน, กำไรสุทธิ, ผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงและการแข่งขัน, ความต้องการ-กระแสนิยม พบว่า ธุรกิจดาวเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง 10 อันดับแรก คือ

อันดับ 1 ธุรกิจการแพทย์และความงาม ได้ 93.5 คะแนน เท่ากับธุรกิจ E-Commerce

อันดับ 2 ธุรกิจแพลตฟอร์ม ได้ 93.0 คะแนน เท่ากับธุรกิจโลจิสติกส์ เดลิเวอร์รี่ และคลังสินค้า

อันดับ 3 Cloud Storage ได้ 91.0 คะแนน เท่ากับธุรกิจประกัน และธุรกิจอาหารเสริม

อันดับ 4 E-Sports ได้ 90.1 คะแนน เท่ากับธุรกิจ Social Media และ Online Entertainment

อันดับ 5 ธุรกิจรีวิวสินค้า ได้ 89.0 คะแนน เท่ากับธุรกิจ Media และสื่อโฆษณา

อันดับ 6 ธุรกิจเวชภัณฑ์ยา ขายส่งเภสัชภัณฑ์ ได้ 88.5 คะแนน เท่ากับ Fintech, จัดอีเวนท์, คอนเสิร์ต, งานแสดงสินค้า

อันดับ 7 ธุรกิจเครื่องมือแพทย์ ได้ 87.3 คะแนน เท่ากับธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน

อันดับ 8 Modern Trade ได้ 86.2 คะแนน เท่ากับธุรกิจสมุนไพรไทย เช่น กัญชง กัญชา ใบกระท่อม

อันดับ 9 ธุรกิจสถานบันเทิง ได้ 85.7 คะแนน เท่ากับธุรกิจยานยนต์

อันดับ 10 ธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ได้ 84.8 คะแนน เท่ากับธุรกิจโรงแรม ทัวร์

สาเหตุที่ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงาม ได้เป็นธุรกิจดาวเด่นอันดับ 1 เนื่องจากมีปัจจัยหนุนจากกระแสการให้ความสำคัญในการดูแลสุขภาพ การกินอาหารเพื่อสุขภาพ และการออกกำลังกาย การเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ จึงทำให้มีความต้องการในธุรกิจนี้มากขึ้น นอกจากนี้ นโยบายการเปิดประเทศก็คาดว่าจะทำให้การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จะเริ่มทยอยกลับเข้ามาใช้บริการได้ในปีนี้

ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของ บมจ.เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม (KLINIQ) ที่ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “อภิรุจ ทองวัฒน์” เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาท/หุ้น ให้แก่ประชาชน (Initial Public Offering) หรือคิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในเดือน พ.ย. นี้ ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ

โดยบริษัททำธุรกิจเป็นผู้ให้บริการตรวจรักษาด้านผิวหนัง ความงาม รักษาผิวพรรณ และดูแลเรือนร่าง รวมถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการให้บริการ ถือเป็นผู้นำธุรกิจด้านความงามครบวงจร ภายใต้แบรนด์ "เดอะคลีนิกค์" (THE KLINIQUE) ได้แก่

1. แผนกผิวหนังและความงาม

2. แผนกศัลยกรรมตกแต่ง

3. แผนกป้องกันและฟื้นฟูสุขภาพ

4.การจำหน่ายยา และเวชภัณฑ์

ณ วันที่ 30 มิ.ย. 65 มีสาขาให้บริการรวม 39 สาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็น คลินิกเวชกรรม 35 สาขา ศูนย์ศัลยกรรม 1 สาขา และร้านทำเล็บ 3 สาขา มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักทั้งผู้หญิง และผู้ชาย ซึ่งปัจจุบันมีฐานลูกค้ามากกว่า 200,000 ราย

โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้จะนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ ใช้ในการซื้อเครื่องมือ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ แบ่งเป็น เงินลงทุนคลินิกเวชกรรม ประมาณ 17-25 ล้านบาทต่อสาขา ระยะเวลาคืนทุน 2-3 ปี และเงินลงทุนศูนย์ศัลยกรรม ประมาณ 50-100 ล้านบาท ระยะเวลาคืนทุน 3-4 ปี โดยในระยะเวลา 3-5 ปี ต่อจากนี้บริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาใหม่ไม่ต่ำกว่า 6-10 สาขาต่อปี ให้ครอบคลุมพื้นที่สำคัญทั่วประเทศ

ส่วนที่เหลือจะใช้ในการลงทุนและพัฒนาด้านเทคโนโลยี และดิจิทัล ซึ่งจะใช้งบลงทุน 15-20 ล้านบาท และกำหนดเริ่มการลงทุนในข่วงกลางปี 66

สำหรับทิศทางผลประกอบการของบริษัทยังมีโอกาสในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่ากำลังซื้อของประชาชนจะปรับตัวลดลง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชอละตัวลดลง แต่กลุ่มลูกค้าของบริษัทอยู่ในระดับบน ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น และภาพรวมในปัจจุบันคนเริ่มให้ความใส่ใจกับสุขภาพผิว ดูแลให้ดูมีอายุน้อยรักษาโรคแก่มากยิ่งขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกปี 65 บริษัทรายได้รวมแล้ว 714.72 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 100.22 ล้านบาท ถือเป็นการเติบโตได้ในสูงเป็นประวัติการณ์ (นิวไฮ)