Gossip Station..by เจ๊จิ๋ม

เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 14-09-23


14 กันยายน 2566
เจ๊จิ๋ม..สายเถื่อน 14-09-23

14-09-23 สวัสดีพี่น้องชาวไทย "เจ๊จิ๋ม" มารายงานตัว ณ ที่เก่าเวลาเดิม www.share2trade.com เปิดอ่านได้เลยเวลา 7.30 น.มีเรื่องเด็ดๆ โดนๆ มาเม้าท์กันให้สนั่นวงการลงทุนของพวกเรากันเถอะ   

***Apple เปิดตัว I-Phone 15 รุ่นใหม่ หลักๆ เป็นการปรับเพิ่ม สเปคประสิทธิภาพเครื่อง (ชิปใหม่ A17, กล้องซูมไกลขึ้นในรุ่น Top) และปรับภายนอกบางส่วน (หน้าจอขอบบางที่สุด+วัสดุไทเทเนียม, พอร์ต USB-C) ขณะที่ราคาที่จำหน่ายเท่ากับรุ่นก่อนหน้า ประเมินผลตอบรับจะอยู่ใกล้เคียงกับปีก่อนๆ โดยเฉพาะจากกลุ่มลูกค้าที่ใช้งาน I-Phone  กูรูหุ้นมองกลุ่มจำหน่ายมือถือ Apple อาทิ COM7, SPVI, CPW มีรอบกำไรที่ดีดังเช่นปีก่อนๆ ในงวดไตรมาส 4/23 ขณะที่ในทางสถิติราคาหุ้นมักตอบรับทางบวกตั้งแต่ช่วงหลังเปิดตัว 1, 2 สัปดาห์ และ 1 เดือน ทั้งนี้ ในช่วง 5 ปีหลัง หุ้นในกลุ่มดังกล่าวให้ผลตอบแทนทางบวกเฉลี่ย 0.38% 9.81% ด้วยความเป็นไปได้เฉลี่ยสูงกว่า 60% มอง SPVI เป็นตัวเลือกเก็งกำไรหลักกรอบเวลา 1 สัปดาห์ เพราะให้ผลตอบแทนสูง 6.8% ด้วยความน่าจะเป็น 80% 

***สรุปราคาเปิดตัว iPhone 15 Series ทุกรุ่น เริ่มต้นที่ 32,900 บาท เตรียมวางขายในประเทศไทย 22 กันยายน 2566 ตามเวลาเดียวกับประเทศกลุ่มแรก 

สำหรับ iPhone 15 Series ที่เปิดตัวในงาน Apple Event 2023 มีทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max โดยมีราคาเปิดตัวแตกต่างกันในแต่ละรุ่นและหน่วยความจำ ดังนี้

ราคา iPhone 15
iPhone 15 ขนาด 128GB : ราคา 32,900 บาท
iPhone 15 ขนาด 256GBv ราคา 36,900 บาท
iPhone 15 ขนาด 512GB : ราคา 45,900 บาท

ราคา iPhone 15 Plus
iPhone 15 Plus ขนาด 128GB : ราคา 37,900 บาท
iPhone 15 Plus ขนาด 256GB : ราคา 41,900 บาท
iPhone 15 Plus ขนาด 512GB : ราคา 50,900 บาท

ราคา iPhone 15 Pro
iPhone 15 Pro ขนาด 128GB : ราคา 41,900 บาท
iPhone 15 Pro ขนาด 256GB : ราคา 45,900 บาท
iPhone 15 Pro ขนาด 512GB : ราคา 54,900 บาท
iPhone 15 Pro ขนาด 1TB : ราคา 63,900 บาท

ราคา iPhone 15 Pro Max
iPhone 15 Pro Max ขนาด 256GB : ราคา 48,900 บาท
iPhone 15 Pro Max ขนาด 512GB : ราคา 57,900 บาท
iPhone 15 Pro Max ขนาด 1TB : ราคา 66,900 บาท

***ปลื้มใจแทน ITNS ไปเข้าตาเซียนหุ้นอย่างจัง! ได้ออกคำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท อิง 2023E PER 15.0 เท่า (-0.5SD จากค่าเฉลี่ยกลุ่มในอดีตที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกันด้าน SI และเท่ากับค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลังตั้งแต่เริ่มเทรด) โดยระบุว่ามีมุมมองเป็นบวกตามเดิมจาก SET Opportunity Day (12 ก.ย.) โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ 
1) ยังคงเป้ารายได้ ปี 2023E เติบโต +25%-30% YoY หรืออยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท โดย 3Q23E จะดีขึ้นทั้ง YoY, QoQ, 
2) แนวโน้มงานประมูลปรับตัวดีขึ้น โดย ภาคเอกชนเริ่มมีงานประมูลขนาดใหญ่กลับมา รวมถึงงานโครงการภาครัฐจะ เริ่มเดินหน้าประมูลมากขึ้นหลังได้รัฐบาลใหม่, 
3) backlog ณ 30 มิ.ย.23 อยู่ที่ 420 ล้านบาท ยังทรงตัวจาก 31 มี.ค.23 และอยู่ระหว่างการเซ็นสัญญาอีกราว 55 ล้านบาท โดยจะรับรู้รายได้ 2H23E ราว 288 ล้านบาท ซึ่งหากรวมกับรายได้ 1H23 จะทำให้มีรายได้รวมคิดเป็น 82% จากเป้าหมายรายได้ทั้งปี ซึ่งประเมินว่ารายได้ปี 2023E จะทำได้ตามเป้าหมาย โดยยังคงประมาณการกำไรปี 2023E ที่ 64 ล้านบาท +16% YoY โดยกำไร 1H23 จะคิดเป็น 43% 

***สำหรับ แนวโน้มกำไร 3Q23E ของ ITNS มีการประเมินว่าจะดีขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ จากการรับรู้รายได้มากขึ้นตาม backlog รวมถึงงานประมูลใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นราคาหุ้น underperform SET -12% ใน 6 เดือน จากกำไร 1Q23 ที่ปรับตัวลง แต่กลับมา outperform SET +11%/+4% ใน 1 เดือน และ 3 เดือน จากกำไร 2Q23 ที่ กลับมาเติบโตดีและมีการซื้อหุ้นคืน ทั้งนี้แนะนำ “ซื้อ” จากกำไร 3Q23E ที่ยังคงเติบโตดีต่อเนื่อง รวมถึงปี 2023E-24E จะเติบโตดี +18% CAGR ขณะที่ ITNS ยังอยู่ระหว่างศึกษาแผนขยายธุรกิจใหม่ๆ เช่น ให้เช่า อุปกรณ์ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์, งาน cyber security และ cloud service ที่จะมีความชัดเจนภายในปี 2023E ด้าน valuation ปัจจุบันน่าสนใจ เทรด 2023E PER ที่ 12.3 เท่า คิดเป็น -1.0SD จากค่าเฉลี่ยในอดีต 

***มาว่ากันต่อเรื่องเกี่ยวเนื่องกับการเมืองไทยตอนนี้ถือว่า เริ่มเดินหน้าสู่ยุคใหม่หลังจากเสร็จสิ้นวาระการประชุมแถลงนโยบายของ "รัฐบาลเศรษฐา" (11-12ก.ย.66) วานนี้จะมีการประชุม ครม. นัดแรก โดยมีวาระการประชุมคือ
-ขอความเห็นชอบในหลักการเดินหน้าโครงการ Digital Wallet โดยจะเริ่มต้น เดือน ก.พ. 67 
-การลดราคาพลังงานน้ำมันและไฟฟ้า อาจลดน้ำมันดีเซลสูงสุดลิตรละ 2 บาท (เพื่อให้เหลือ 30 บาท/ลิตร) และอาจลดค่า Ft ลงอีก 0.2 บาท/หน่วย (มาอยู่ที่ 4.25 บาท/หน่วย) 
-มาตรการพักหนี้เกษตรกร 3 ปี อัดงบกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะเกิดใน 4Q66 
-มาตรการเตรียมพร้อมรับมือเอลนีโญ 
-มาตรการวีซ่าฟรี (นักท่องเที่ยวไม่ต้องขอวีซ่า) โดยจะเริ่มต้นได้เร็วที่สุดภายใน วันที่ 25 ก.ย.66 และสิ้นสุดปลายเดือน ก.พ.67
-ขอความเห็นชอบเป็นกรอบเวลาในการเริ่มทำงบประมาณรายจ่ายปี 2567 อาจต้องจัดทำงบประมาณขาดดุลเพิ่ม 1 แสนล้านบาท 

***และมีอีกนโยบายที่ไม่ได้อยู่ในวาระการประชุมแต่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น คือ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย โดย รมต.คมนาคม ให้แนวทางไว้ว่านโยบายดังกล่าวสามารถเป็นรูปธรรมได้แน่นอน ส่วนระยะเวลาจะต้องดูแต่ละเส้นทางที่มีระบบแตกต่างกัน ทั้งการให้สัมปทานเอกชนและบางเส้นทางรัฐดำเนินการเองหรือบาง เส้นทางมี กทม.เป็นคู่สัญญา ดังนั้น การให้เก็บ 20 บาทตลอดสายเท่ากัน ต้องใช้เวลาพอสมควร แต่สำหรับเส้นทางที่รัฐจะดำเนินการได้เองและทันที คือ สายสีแดง(ตลิ่งชันรังสิต)กับสายสีม่วง(คลองไผ่-เตาปูน) ซึ่งคาดจะเริ่มได้ 1 ม.ค.67

***เซียนหุ้นประเมินว่าประเด็นเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจไปข้างหน้า และมีโอกาสที่ GDP Growth ปีหน้าจะโต 5%YoY ตามที่พรรคเพื่อไทยตั้งไว้ตอนหาเสียง ขณะที่กลุ่มหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ กลุ่มค้าปลีก ท่องเที่ยว ขนส่ง ขณะที่กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ แต่ราคาหุ้นตอบสนองไประดับหนึ่งแล้ว คือ กลุ่มพลังงาน-โรงไฟฟ้า เช่าซื้อ เป็นต้น  ส่วนหุ้นที่แนะนำคือ CRC BJC AOT CENTEL BEM TOP PTTEP SPRC BGRIM GPSC เป็นต้น