Smart Investment

"เสี่ยปู่" ลุยซื้อหุ้น BVG มากสุด


13 กันยายน 2566

by. พูเมซ่า 

smart invest เสี่ยปู่ ทยอยเก็บ 3 หุ้นเล็ก.jpg

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยภายใต้รัฐบาลที่นำโดย "เศรษฐา ทวีสิน"นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ดัชนีตลาดหุ้นยังคงผันผวนต่อเนื่อง โดยบล.เอเซียพลัส ระบุฝ่ายวิจัยฯทำการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของ SET Index ตั้งแต่วันที่ได้นายกฯ คนใหม่ 22 ก.ค. 66 ถึงปัจจุบัน 11 ก.ย. 66 พบว่า SET Index เคยขึ้นไปถึง 3.3% แต่ปัจจุบันย่อตัวลงมาเหลือผลตอบแทน 1% จากแรงขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามจากการเริ่มต้นเดินเครื่องทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ในระยะกลางถึงยาวน่าจะคาดว่าการผลักดันให้ตัวเลขเศรษฐกิจ และกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตมากขึ้นได้ รวมถึง Fund Flow ต่างชาติอาจจะไหลกลับสนับสนุนอีกครั้งและหากวิเคราะห์ผลตอบแทนสะสมออกเป็นราย Sector พอจะแบ่งแยกกลุ่มหุ้นที่ Outpeform และ Underperform SET Index ที่ +1% ได้ดังนี้

  1. กลุ่มหุ้นที่อิงกับความคาดหวังเศรษฐกิจจีนฟื้น หลังรัฐบาลกลับมาเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ Outperform ตลาดมาก อาทิ AGRI +9.6%,

STEEL+7.3%, PKG+6.8%, AUTO +5.0%, FIN +4.7%, CONS +4.6%, ETRON +3.4%

  1. กลุ่มหุ้นอิงกระแสนโยบายภาครัฐ Outperform ตลาดรองลงมา อาทิ TOURISM +3.3%, FOOD +2.9%, COMM +2.8%, PROP +2.6%, MEDIA 2.6%, TRANS 1.3%
  2. กลุ่มที่ Underperform ตลาดมากเกินไป สวนทางราคาน้ำมันโลกที่ขยับขึ้น อาทิ ENERG -2.2%, PETRO -5.4%

สรุป พอแจกแจงผลตอบแทนสะสมออกมาเป็นราย Sector จะเห็นภาพชัดว่า SET Index ที่ย่อตัวลงมาหลักๆ เกิดจากการย่อตัวแรงของหุ้นกลุ่มปิโตรฯ และพลังงาน และเริ่มเห็นสัญญาณ RSI Oversold น่าจะเห็นการรีบาวน์กลับช่วงสั้นๆ ได้ ขณะที่หุ้นกลุ่มอิงกับเศรษฐกิจจีน และกลุ่มที่ได้กระแสนโยบายภาครัฐ น่าจะยังเป็นผู้นำในการพยุงตลาด ทำให้คาดหวังว่า SET Index ยังมี Upside มากกว่า Downside จากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในส่วนการลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันดีในวงการตลาดหุ้นไทยมาอย่างยาวนาน ในนามของ"เสี่ยปู่" หรือ สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล ซึ่งปัจจุบันมีการถือครองหุ้น จำนวน 14 บริษัท และจะเน้นที่หุ้นขนาดเล็กและกลางมากกว่าขนาดใหญ่ ประกอบด้วย

 

หุ้น

จำนวน(หุ้น)

%การถือครอง

AJ

20,404,000

4.64

BRI

8,607,700

1.01

BRI (ถือผ่านบล.ดาโด)

3,864,717

0.45

BROCK

137,796,900

13.44

BVG

18,655,400

4.15

DITTO

18,536,000

3.51

ICN

38,936,000

6.3

KCC

13,102,000

2.11

KCC(ถือผ่านบล.ดาโด)

5,342,700

0.86

MFEC

3,464,700

0.78

ORI

98,027,100

3.99

PCC

23,037,500

1.88

PEACE

14,110,000

2.8

PLUS

45,393,200

6.78

PRI

7,261,600

2.27

PRI(ถือผ่านบล.ดาโด)

4,364,200

1.36

RSP

9,455,000

1.27

TEAMG

15,760,000

2.32

 

 

 

 

จากข้อมูลข้างจะพบว่า หุ้นในพอร์ตลงทุนของ"เสี่ยปู่" ล่าสุด ณ เดือนสิงหาคม 2566 มีการปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น และได้มีการนำสัดส่วนการถือครองไปเปรียบเทียบกับการปิดสมุดทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นในครั้งก่อนพบว่า "เสี่ยปู่"ได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น 3 บริษัท และลดการถือครอง 1 บริษัท ดังนี้

หุ้น

จำนวนล่าสุด

จำนวนก่อนหน้า

การเปลี่ยนแปลง

BRI

12,472,417

11,354,717

1,117,700

BVG

18,655,400

12,990,000

5,665,400

ORI

98,027,100

94,720,000

3,307,100

PRI

11,625,800

11,800,800

-175,000

หน่วย: หุ้น

 

 

 

 

 

 

 

รวมทั้งข้อมูลดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นว่า “เสี่ยปู่”ได้เข้าซื้อหุ้น BVG เพิ่มขึ้นมากสุดถึง  5,665,400 หุ้น ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 4.15% จากก่อนหน้านี้ถือหุ้น 12,990,000 หุ้นคิดเป็น 2.89% และยังคงรักษาตำแหน่งการเป็นผู้ถือหุ้นใหญอันดับ 2 ไว้อย่างเหนียวแน่น

สำหรับบริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือBVG กลุ่มบริษัทประกอบธุรกิจ 4 ธุรกิจ ได้แก่ 1) ธุรกิจให้บริการระบบแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน สำหรับบริหารจัดการธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับประกันภัยรถยนต์ ("ระบบ EMCS") 2) ธุรกิจให้บริการบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ ด้านการรักษาพยาบาลและสินไหมทดแทน รวมถึงการให้คำปรึกษาแนะนำที่เกี่ยวข้อง ผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน ("บริการ TPA")3) ธุรกิจการให้คำปรึกษาด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย 4) ธุรกิจการให้บริการนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

บล.ทรีนีตี้ แนะนำให้ถือหุ้นBVG ให้ราคาเป้าหมายใหม่  5.8 บาทโดย กำไร 2Q66 อ่อนตัวหลังค่าใช้จ่ายปรับตัวเพิ่มขึ้น

BVG ประกาศกำไร 2Q66 ที่ 14 ล้านบาท อ่อนตัว 20%QoQ และ 10%YoY โดยรายได้อ่อนตัวลงเล็กน้อย 2%QoQ แต่ยังเติบโตได้ดีราว 18%YoY หลังระบบ EMCS มีรายได้จากการให้บริการ claim settlement, claim notification รวมถึงระบบ AI ขณะที่บริการ TPA มีปริมาณการให้บริการเพิ่มขึ้นจากลูกค้าในกลุ่ม Self-insured อย่างไรก็ตามต้นทุนบริการปรับตัวเพิ่มขึ้น 5%QoQ และ 27%YoY ซึ่งมากกว่ารายได้ เนื่องจากมีการปรับเงินเดือนพนักงานและต้นทุนการให้บริการ AI สูงขึ้น บวกกับค่าใช้จ่ายในการบริหารปรับตัวเพิ่มขึ้น 6%QoQ และ 26% YoY ซึ่งมากกว่ารายได้เช่นกัน เนื่องจากมีการบันทึกค่าใช้จ่ายจากการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารระดับสูงราว 5-6 ล้านบาท

ทั้งปีอาจโตน้อยกว่าคาด จึงปรับประมาณการกำไรปี 66-67 ลง เราปรับประมาณการกำไรปี 2566-2567 ลงราว 10% และ 16% จากประมาณการก่อนหน้ามาอยู่ที่ 71 ล้านบาท (+28%YoY) และ 90 ล้านบาท (+28%YoY) แม้ว่าจะเห็นแนวโน้มการเติบโตของรายได้จากระบบ EMCS และบริการ TPA แต่อาจไม่สูงเท่าที่คาดไว้ก่อนหน้า บวกกับต้นทุนการให้บริการ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงกว่าที่คาด ทั้งนี้เรายังไม่รวมประมาณการในส่วนของ Cambodia Bluventure (JV) ซึ่งบริษัทถือหุ้น 49% คาดว่าจะเริ่มดำเนินงานใน 2H66 ซึ่งหากมีรายละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายทางการเงินของ JV ดังกล่าว เราอาจมีการปรับประมาณการอกีครั้งหนึ่ง

นอกจากนี้ได้ปรับลดราคาเป้าหมายสะท้อนประมาณการใหม่ จากการปรับประมาณการ ทำให้เราสามารถคำนวณราคาเป้าหมายปี 2566 ใหม่ได้ที่ 4.6 บาท อิง PEG 1 เท่า อย่างไรก็ตามเราได้ Roll-over ไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 5.8 บาท อิง PEG 1 เท่า (อิง 3-year avg. growth ที่ 28% ตามการปรับลดประมาณการกำไร) ด้วยราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside ค่อนข้างจำกัด จึงแนะนำเพียง “ถือ”

 

 

 

BVG