จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเข้าตานักลงทุน หนุนผลงาน IHL ปี66 โต 5-10%


24 สิงหาคม 2566
นักลงทุนต่างชาติยังเดินหน้าขยายการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยอย่างต่อเนื่อง  โดยมีเงินลงทุนโดยตรง (FDI) เข้ามาถึง 3 แสนล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้  ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจของ บมจ.อินเตอร์ไฮด์ (IHL) ที่รายได้หลักมาจากการผลิตเบาะหนังรถยนต์  

รายงานพิเศษ IHL.jpg

นายนฤตม์  เทอดสถีรศักดิ์  เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)  ระบุ ไทยยังเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ของโลก เนื่องจากมีซัพพลายเชนที่ครบวงจรจากการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้มานานถึง 50 ปี โดยปัจจุบัน มีบริษัทชิ้นส่วนรถยนต์และส่วนประกอบอื่น ๆ อยู่ในไทยมากกว่า 2,000 บริษัท
          
ทั้งนี้ ประเทศไทยตั้งเป้าจะเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ EV ระดับโลก โดยมีแผนจะผลิตรถยนต์ EV ให้ได้ราว 30% ของรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตในประเทศไทย ภายในปี 2573 ผ่านการส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน BOI ได้ส่งเสริมการผลิตรถยนต์ EV ให้ขึ้นมาเป็นภาคการผลิตรถยนต์ที่สำคัญ ซึ่งถือเป็นองค์ประกอบของการส่งออกรถยนต์ของประเทศ 10% และมีอัตราการเติบโต 5% ต่อปี

สำหรับการลงทุนในอุตสาหกรรมมีการฟื้นตัวมากขึ้น โดยมีเงินลงทุนโดยตรง (FDI) เข้ามาถึง 3 แสนล้านบาทในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งแหล่งเงินทุนมาจากจีน สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ขณะที่โครงการพลังงานที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีมูลค่าการลงทุนถึง 2.6 หมื่นล้านบาท
          
ส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีการขอการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งมีตั้งแต่โครงการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ไปจนถึงสถานีชาร์จไฟ โครงการรถยนต์ EV ที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปแล้วถึง 17 โครงการ เป็นผู้เล่นรายใหญ่เข้ามา เช่น บีวายดี (BYD), เกรทวอลล์ มอเตอร์ (GWM) และยังมีอีกหลายบริษัทใหญ่ที่กำลังขออนุมัติการส่งเสริมการลงทุน เช่น ฉางอันมอเตอร์ ด้านแบตเตอรี่ BOI ได้ส่งเสริมการผลิตแบตเตอรี่ 71 โครงการ และสถานีชาร์จไฟ EV 10 โครงการ ก็จะเพิ่มสถานีชาร์จเป็น 11,000 หน่วย จากปัจจุบัน 4,000 หน่วย
           
อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่งผลดีต่อธุรกิจเกี่ยวเนื่อง  โดยเฉพาะธุรกิจผลิตเบาะหนังรถยนต์  ซึ่งจะเติบโตควบคู่ไปกับตลาดรถยนต์ รวมถึงผลงานของบริษัท อินเตอร์ไฮด์ (IHL)  โดยประธานกรรมการบริหาร IHL  “องอาจ ดำรงสกุลวงษ์” มั่นใจยอดขายในปี 66 สามารถโต 5-10% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จากแนวโน้มของยอดออเดอร์ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 66 ที่เข้ามามากขึ้น จากธุรกิจฟอกรองเท้า และธุรกิตผลิตเบาะหนังรถยนต์ที่เติบโตดี โดยปัจจุบันธุรกิจเบาะหนังรถยนต์มีสัดส่วนรายได้ 45-50%  ซึ่งทั้ง 2 ธุรกิจที่เป็นธุรกิจหลังของบริษัทยังมีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จากค่ายรถยนต์พันธมิตรรายใหญ่ 
           
ทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังของปี 66 คาดว่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก จากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ประกอบกับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวชัดเจน 

ขณะเดียวกันบริษัทได้วางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังเพิ่มเติมจากการเน้นเพิ่มยอดขาย รวมถึงการขยายธุรกิจอื่นๆให้มากขึ้น ทั้งธุรกิจขนมขบเคี้ยวสุนัข MOMO & FRIENDS ธุรกิจฟอกหนังรองเท้า ธุรกิจผลิตหนังเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงการลดต้นทุนต่างๆ เพื่อทำให้ต้นทุนการผลิตลดลง โดยเฉพาะการเดินหน้าติดตั้งโซลาร์รูฟท้อปบนหลังคาโรงงาน โดยใช้งบลงทุนในการติดตั้งโซลาร์รูฟท้อป 40 ล้านบาท  ส่วนในปี 66 ยังมีงบลงทุนในการซื้อและปรับปรุงเครื่องจักร 130 ล้านบาท
IHL