Smart Investment

เปิดโพยหุ้นเด่นเดือนสิงหาฯ ฝ่ามรสุมการเมือง! เลื่อนโหวตนายกฯรอบ 3


04 สิงหาคม 2566
Mr.Data

ตลาดหุ้นไทยกำลังเข้าสู่โหมด Overhang จากวังวนปัญหาการเมือง  หลังจากวานนี้ (3 ส.ค.) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร สั่งเลื่อนการประชุมเพื่อโหวตนายกฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันนี้ (4 ส.ค.) ออกไปก่อน เพื่อรอการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญวันที่ 16 ส.ค. กรณีการเสนอ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ซํ้าผิดรัฐธรรมนูญหรือไม่

smart invest เปิดโพยหุ้นเด่นเดือนสิงหาฯ.jpg

ขณะที่พรรคเพื่อไทยยกเลิกแถลงจัดตั้งรัฐบาล ในช่วงบ่ายวานนี้ (3 ส.ค.) 

ล่าสุด มีรายงานว่า นายทักษิณ ชินวัตร เลื่อนกำหนดการกลับประเทศไทย จากเดิมวันที่ 10 สิงหาคม 66 เป็นหลังจากการจัดตั้งรัฐบาล
การเมืองที่อยู่ในช่วง “สุญญากาศ” แน่นอนว่า กระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุนโดยเฉพาะต่างชาติ และสถาบัน ส่งผลให้มีแรงเทขายหุ้นออกมาอย่างหนาแน่น 

โดยวานนี้ (3 ส.ค.) ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ปิดตลาดที่ 1,529.01 จุด ลดลง 21.27 จุด หรือลดลง 1.37% มูลค่าการซื้อขาย 51,342.55 ล้านบาท  ต่างชาติขายสุทธิ 2,930.81 ล้านบาท สถาบันขายสุทธิ 1,042.81 ล้านบาท โบรกเกอร์ขายสุทธิ 123.88 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4,097.50 ล้านบาท

ขณะที่มุมมองการลงทุนตลาดหุ้นไทยในเดือนสิงหาคม บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส คาดหวังให้ SET วิ่งต่อ โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายนอกที่ดูดี วัฏจักรของดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้จบ อีกทั้งความความกังวลในเรื่อง Recession ลดลง และจีนพร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม 

ในส่วนของปัจจัยภายในประเทศมองว่าการเมืองพ้นจุดที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว กำไรงวด 2Q66 น่าจะลดลง แต่จะกลับมาฟื้นชัดเจนขึ้นในปี 2H66 ทุกๆ ปัจจัยสนับสนุนให้ Fund Flow และสภาพคล่องกลับมาหนุนไทยมากขึ้น หุ้นเด่นเดือนส.ค. แนะนำ ERW, SCGP, GPSC, CK, SIRI, PLANB และ SNNP

ในเดือน ส.ค. 66 คาดหวัง SET ได้แรงหนุนจากปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายในดังนี้ 

ปัจจัยภายนอก 

1) วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้จบ หลังจาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยมาแล้วใน 1 ปี 7 เดือน จาก 0.25% มาเป็น 5.5% ซึ่งสูงกว่าเงินเฟ้อปัจจุบันที่ลดลงเหลือ 3% พอสมควร ส่งผลให้ตลาดคาด Fed น่าจะคงดอกเบี้ยไปจนถึงต้นปี 2567 ในเดือนมิ.ย.66 ที่ผ่านมา 

2) ความกังวลเศรษฐกิจโลกเผชิญ Recession ลดลงหลังจาก IMF มีการปรับคาดการณ์ GDP โลกปี 2566 ขึ้นจาก 2.8% เป็น 3%

3) จีนเตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ถือว่าดีต่อเศรษฐกิจไทยที่มีมูลค่าการกับไทยมากสุดเป็นอันดับ 1 หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 22% ของมูลค่ารวมทั้งโลก 

ปัจจัยภายในประเทศ

1) การเมืองพ้นจุดที่ร้อนแรงที่สุดไปแล้ว หลังผ่านระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่มาเกินกว่า 2 เดือนครึ่ง และน่าจะเห็นการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ในช่วงที่เหลือของปี 

2) เป็นช่วงการรายงานกำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 2Q66 ฝ่ายวิจัยคาดว่าจะลดลงทั้ง QoQ และ YoY แต่ในช่วงที่เหลือของปีคาดจะเห็นการเติบโตที่ดีขึ้น จากฐานกำไรที่ต่ำ 2H65 ที่ต่ำเพียง 4.04 แสนล้านบาท ปกติอยู่ในโซน 4.5 – 5 แสนล้านบาท  พร้อมกับแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีโอกาสฟื้นตัวต่อเนื่อง ทั้งจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น การเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน และการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศจากรัฐบาลใหม่

ในส่วนของ Fund Flow แรงกดดันจากประเด็นการเมืองร้อนแรง และการเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 3 ครั้งในปีนี้ จาก 1.25% เป็น 2% น่าจะค่อยๆ ลดน้อยลงส่งผลให้ Fund Flow ต่างชาติมีโอกาสสลับเข้ามาซื้อสะสมหุ้นไทยเพิ่มเติม หลังจากผ่านช่วงสุญญากาศทางการเมือง 

ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน Valuation ด้วยวิธี Marketing Earning Yield Gap (MEYG) แบบอนุรักษ์นิยม จะได้รับแนวทางพื้นฐานอยู่ที่ 1,480 จุด แต่ถ้าลดระดับดอกเบี้ยนโยบายมาอยู่ที่ 2% จะได้แนวต้านพื้นฐานที่ 1,542 จุด แต่ถ้าสภาพคล่องกลับมา รวมถึงต่างชาติสลับเข้ามาซื้อสุทธิ (MEYG ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 3.7%) หนุนให้แนวต้านพื้นฐานขยับขึ้นไปอยู่ที่ 1,610 จุด 

สำหรับกลยุทธ์ลงทุนเดือนส.ค. แนะนำหุ้น 3 ธีม 

1) หุ้น CHINA PLAY คือ ERW, SCGP 

2) หุ้น ELECTION PLAY คือ GPSC, CK, SIRI 

3) หุ้น EARNING MOMENTUM PLAY คือ PLANB, SNNP

ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ประเมินทิศทางการลงทุนเดือน ส.ค. ยังคงผันแปรตามปัจจัยในประเทศ 3 ประเด็น คือ พัฒนาการของการเมืองโดยเฉพาะการโหวตเลือกนายกฯคนใหม่ หากพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยที่ไม่ได้มีพรรคก้าวไกลอยู่เป็นพรรคร่วม และไม่มีความวุ่นวายนอกสภาเกิดขึ้น คาดว่าจะเป็น Sentiment บวกต่อตลาดหุ้น

การประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/66 และการปรับเปลี่ยนประมาณการของนักวิเคราะห์ ซึ่งล่าสุดยังคงเห็นสัญญาณการ Downgrade ต่อเนื่อง

ในเชิงกลยุทธ์ มองดัชนีหุ้นไทยเดือนนี้ อิงทางลง หลังดัชนีขึ้นมาใกล้ระดับดีสุดในวิธี PE Model ของทรีนีตี้ที่ 1,560 จุด โดยที่ยังไม่เห็นพัฒนาการเชิงบวกใดๆทางปัจจัยพื้นฐาน

โดยแนะนักลงทุนที่จำเป็นต้องถือหุ้น ใช้จังหวะที่ SET Index ทะลุระดับ 1,560 จุดขึ้นไป ทยอยเปิดสถานะ Short ในตราสาร Index futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตหากดัชนีมีการปรับตัวลงมาตามที่คาดไว้

สำหรับตัวหุ้นที่พอ Selective ในช่วงที่ดัชนีอยู่สูง มอง 2 กลุ่ม ที่มีผลการดำเนินงานผ่านพ้นจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 ไปแล้ว ดังนี้ หากต้องการลงทุนไปตามโมเมนตัม มองหุ้นกลุ่มโรงกลั่นที่ได้แรงหนุนจากค่าการกลั่นที่ปรับขึ้นสูง เช่น TOP, SPRC, BCP, IRPC, PTTGC

และหากต้องการลงทุนหุ้นปลอดภัย ยกให้กลุ่มโรงพยาบาลที่ยังคงปรับตัว Laggard ตลาดในช่วงที่ผ่านมา หุ้นเด่นคือ BDMS, BH, BCH, CHG, PR9

การเมืองยังคงเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา ได้แต่เฝ้าภาวนาอย่าให้ปมความขัดแย้ง ลากสู่การชุมนุมบนท้องถนน และลุกลามบานปลาย ทำลายความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว ที่กำลังจะฟื้นตัว เชื่อว่าทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้น....ตั้งสติ อย่าประมาท ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จกับการลงทุน พึงระลึก การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน