Smart Investment

"เสี่ยปู่" รับเงินปันผลหุ้น ORI มากที่สุด


02 สิงหาคม 2566

by.พูเมซ่า

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในเดือนกรกฎาคม 2566 ดัชนีหุ้นไทยฟื้นตัวและปรับตัวขึ้นราว 2.67%จากเดือนก่อน โดยหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ดีกว่าตลาดมากที่สุดยังเป็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ นำโดยหุ้น DELTA ปรับตัวขึ้นสูงถึง 19% ปัจจัยที่ยังคงมีอิทธิพลกับทิศทางของตลาดหุ้นไทย ยังคงเป็นปัจจัยทางการเมือง

smart invest เสี่ยปู่ โกยปันผล 6 หุ้นไซส์กลางเล็ก.jpg

ขณะที่บล.เอเซียพลัส ประเมินว่า เมื่อกนง.ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นระดับ 2.25% จะกดดัน Target SET สู่ระดับ 1542 จุด จากเดิม 1610 จุด(EPS66F เท่ากับ 91.8 บาท/หุ้น, MEYG ที่ 4%, ดอกเบี้ยนโยบายเท่ากับ 2.25%)ขณะที่เริ่มเห็นมูลค่าซื้อขายหุ้นไทยทยอยฟื้นขึ้น และกลับมาสูงกว่า 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน 5 ใน 8 วันทำการที่ผ่านมา

ขณะที่มูลค่าซื้อขายที่เพิ่มขึ้นมักจะช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นขยับขึ้นไปด้วย อีกทั้งยังช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยถูกซื้อขายบน MEYG ที่ต่ำลง หรือ P/E ที่สูงขึ้นได้ สะท้อนจากสถิติในอดีตย้อนหลัง 10 ปี เวลามูลค่าซื้อขายสูงกว่า 5 หมื่นล้านบาทต่อวัน จะได้ค่าเฉลี่ย MEYG ต่ำลงจาก 4% เป็น 3.5% หรือคิดเป็นค่า P/E (ภายใต้ดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25%) เพิ่มขึ้นจาก 16 เท่า เป็น 17.54 เท่า เมื่อคูณกับ EPS 66F 91.8 บาท/หุ้น หนุนให้เป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1610 จุด ซึ่งช่วยชดเชยแรงกดดันหากกนง.มีการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีได้

ทั้งนี้จากการสำรวจการลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่อย่าง" สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล"หรือที่รู้จักกันในนาม"เสี่ยปู่" ซึ่งเป็นบุคคลที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมานานและเป็นที่รู้จักกันอย่างดี ปัจจุบันมีการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กจำนวน 15 บริษัท ประกอบด้วย

หุ้น

จำนวน(หุ้น)

%การถือครอง

AJ

20,404,000

4.64

BRI

7,490,000

0.88

BRI

3,864,717

0.45

BROCK

137,796,900

13.44

BVG

12,990,000

2.89

DITTO

18,536,000

3.51

ICN

38,936,000

6.3

KCC

12,261,900

1.98

KCC

4,651,100

0.75

MFEC

3,464,700

0.78

ORI

94,720,000

3.86

PCC

23,037,500

1.88

PEACE

14,110,000

2.8

PLUS

45,393,200

6.78

PRI

7,091,000

2.22

PRI

4,709,800

1.47

RSP

9,455,000

1.27

TEAMG

15,760,000

2.32

จากข้อมูลดังกล่าว เมื่อนำมาพิจารณาในส่วนหุ้นที่ประกาศจ่ายเงินปันผลในรอบปี 2565 พบว่ามีเพียง 6 บริษัท และได้นำมาเงินปันผลที่จ่ายเป็นเงินสดมาคำนวณกับจำนวนหุ้นที่"เสี่ยปู่"ถือครองพบว่า จะได้รับเงินปันผลมูลค่ารวม 68.56 ล้านบาท ดังนี้

หุ้น

จำนวน(หุ้น)

ราคา

 มูลค่า

BRI

11,354,717

0.721

 8,186,751

KCC

16,913,000

0.0212

 358,556

MFEC

3,464,700

0.4

 1,385,880

ORI

94,720,000

0.57

 53,990,400

PCC

23,037,500

0.14

 3,225,250

RSP

9,455,000

0.15

 1,418,250

รวม

 

 

 68,565,087


จากข้อมูลในตลาดดังกล่าวจะเห็นว่า หุ้นORI เป็นหุ้นที่ “เสี่ยปู่”จะได้รับเงินปันผลมากที่สุด หากเทียบกับหุ้นตัวอื่นๆ

สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้นORI ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 ราคาหุ้นปรับลดลง 0.94% จากราคา10.60 บาท มาอยู่ที่ 10.50 บาท และเคยปรับขึ้นไปสูงสุดเพียง 10.70 บาท

ขณะที่บล.กรุงศรี พัฒนสิน ได้แนะนำให้ Trading BUY หุ้นORI ประเมินราคาเป้าหมายที่ TP 12.50 บาท เนื่องจากมุมมอง slightly negative ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิ 2Q23F ที่ 810 ลบ. (-30% y-y, +2% q-q) ทั้งนี้ถ้าไม่รวมกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุน 11 โครงการ JV จะมี Norm. profit ที่ 530 ลบ. (-21% y-y, -24% q-q) ต่ำกว่าที่เราคาดเดิม จากการโอนที่ต่ำกว่าคาด ทั้งนี้กำไรสุทธิ 1H23F คาดที่ 1.6 พันลบ. (-11% y-y) คิดเป็น 44% ของประมาณการกำไรสุทธิ 2023F ที่ 3.65 พันลบ. (-3% y-y) โดย momentum ของกำไรสุทธิ 3Q-4Q23F ที่ทยอยเพิ่มขึ้น q-q น่าจะสนับสนุนให้กำไรสุทธิ 2023F ยังเป็นไปได้ โดยคาด ORI จะประกาศจ่าย 1H23F interim dividend ที่ราว 0.15 บาท/หุ้น

ฝ่ายวิจัยคงคำแนะนำ Trading BUY ที่ TP23F ที่ 12.50 บาท/หุ้น มองราคาหุ้น ORI ระยะสั้นมีโอกาสอ่อนตัวจากกำไรสุทธิ 2Q-3Q23F ที่ยังไม่สูงนัก จึง “แนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว” โดยมอง story อยู่ใน 4Q23F เพราะจะมีโครงการใหม่ทั้ง low-rise และ condo เข้ามาโอนมาก รวมถึงแผนการ spin-off ธุรกิจ hotel และ service apartment จะอยู่ใน 4Q23F ซึ่งจะทำให้ฐานะทางการเงิน ORI ดีขึ้น

 

ORI