Smart Investment

STEC-STPI-PTG ราศีจับ ลุ้น”เพื่อไทย”ดึง”ภูมิใจไทย”เสียบ


21 กรกฎาคม 2566
Mr.Data

จับตา เพื่อไทย ดึง ภูมิใจไทย copy.jpg

แม้ภาพรวมการลงทุนตลาดหุ้นไทยจะมีความผันผวน SET Index ในวันที่ 20 กรกฏาคม 2566 ปรับตัวลดลง15.46 จุด ปิดที่ระดับ 1,521.18 จุด มูลค่าการซื้อขาย    45,346.01 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติกลับมาขายสุทธิ 1,702.73 ล้านบาท จากความกังวลสถานการณ์การเมืองในประเทศ

หลังนายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ยังไม่ยืนยันแน่ชัดว่าจะให้พรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วยหรือไม่ ซึ่งต้องการประชุมจาก 8 พรรคร่วมก่อน  

นอกจากนี้ นายเศรษฐา ยอมรับว่า ม.112 เป็นปัญหาในการโหวตนายกฯ

ทำให้มีการประเมินว่า “พรรคตก้าวไกล” อาจถูกบีบให้ออกจาการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล! 
และสิ่งที่จะตามมาคงหนีไม่พ้นเรื่องของ...การเมืองนอกสภา การชุมนุมประท้วง ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองเกิดขึ้น

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด  เผยบทวิเคราะห์ “ติดตามเกมส์ การจับขั้ว” มองกรณีที่ที่ประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา ลงมติเห็นด้วยกับข้อบังคับการประชุม 41 ที่ห้ามมีการเสนอญัตติซ้ำเป็นครั้งที่สอง อาจเป็นตัวจุดประกายให้พรรคเพื่อไทย ซึ่งจะเป็นพรรคลำดับถัดไปในการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีนั้นเดินเกมส์ที่ปลอดภัยมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจว่าการโหวตนายกฯ ที่มาจากแคนดิเดตพรรคนั้น จะประสบความสำเร็จตั้งแต่รอบแรก ด้วยวิธีการ 2 แบบ ดังต่อไปนี้

การไปดึงพรรคอื่นมาเพิ่มเติมเสียงให้กับกลุ่มจัดตั้งรัฐบาลที่มีอยู่ 8 พรรคเดิม อาทิเช่น การจับมือกับพรรคภูมิใจไทยเข้ามา ซึ่งก็จะทำให้มีคะแนนเสียง ส.ส.ในมือรวมกันใหม่เป็น 384 ที่นั่ง เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา

การตัดสินใจข้ามขั้วไปจับมือกับแกนนำฝั่งพรรคอนุรักษ์นิยมทันที เช่น พรรคภูมิใจไทย พลังประชารัฐ เพื่อเรียกคะแนนเสียงจาก สว. ให้ลงมติหนุนนายกที่มาจากแคนดิเดตเพื่อไทย รวมกันเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา

ไม่ว่าในกรณีไหน มองโอกาสในการก้าวขึ้นมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลของภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคอันดับ 3 ตอนนี้มีสูงมาก ประเด็นนี้อาจทำให้เห็นแรงเก็งกำไรต่อเนื่องไปยังกลุ่มหุ้นที่เชื่อมโยงกับพรรคดังกล่าวอย่าง เช่น STEC, STPI, PTG เป็นต้น

สำหรับใน 3 ตัวนี้มี PTG ที่อยู่ภายใต้ Coverage ของเรา โดยในเชิงพื้นฐานแม้แนะนำ "ถือ" แต่มีประเด็นเชิงบวกล่าสุดได้แก่การที่ กบน. มีมติใช้กองทุนน้ำมันฯ ตรึงราคาดีเซลให้อยู่ที่ 32 บาทต่อลิตร หลังมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลจะสิ้นสุดลงในวันที่ 20 ก.ค. นี้

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่า การที่ กบน.เห็นชอบให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันดีเซลให้อยู่ที่ประมาณ 32 บาท เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค. 66 หลังจากมาตรการเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 20 ก.ค. นี้ น่าจะส่งผลบวกต่อPTG เนื่องจากมียอดขายดีเซลคิดเป็นสัดส่วน 74% ของปริมาณการขายน้ำมัน

โดยคาดว่า Q2/66 PTG จะมีกำไรสุทธิ 221 ลบ. ลดลง 63% YoY และลดลง 20% QoQ จากความผันผวนของราคาน้ำมัน แต่ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ที่ 1.6 พันล้านบาท โตถึง 70% เนื่องจากคาดว่าแนวโน้มงบครึ่งหลังปี 66 จะฟื้นตัว จากปริมาณการขายยังคงโมเมมตัมเพิ่มขึ้น  

อีกทั้ง ราคาหุ้นปัจจุบันได้รับรู้ข่าวร้ายไปหมดแล้วและเป็นกรอบที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี ดังนั้น ยังคงแนะนำซื้อ เป้าหมายที่ 18.50 บาท 

ขณะที่ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 18.80 บาท

ก่อนหน้านี้ นายรังสรรค์ พวงปราง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (PTG)  ประเมินแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 2/66 น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังปัจจัยเกี่ยวกับโควิดคลี่คลาย ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการเดินทางต่างๆ กลับฟื้นตัว ซึ่งทำให้ยอดเติมน้ำมันในสถานีบริการต่างๆ ของบริษัทขยับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

โดยในปี 66 ทาง PTG ยังคงประมาณการกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย(EBITDA) เติบโต 8-12% จากปีก่อนที่อยู่ในระดับสูงกว่า 5 พันล้านบาท เพราะได้รับแรงหนุนจากสัดส่วนกำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน (Non-Oil) ที่คาดเพิ่มขึ้น หรือมาอยู่ที่ 20-30%ในปีนี้ และธุรกิจค้าปลีกน้ำมันคาดปริมาณการจำหน่ายน้ำมันจะเติบโต 8-12% จากปีก่อนทำได้ 5,316 ล้านลิตร และปริมาณการขายก๊าซ LPG เติบโต 40-60% ตามดีมานด์ที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น

สำหรับงบลงทุนในปี 2566 PTG วางงบลงทุนไว้ประมาณ 5-6 พันล้านบาท รองรับการขยายธุรกิจส่วนต่างๆ แบ่งเป็น กลุ่มธุรกิจน้ำมันอยู่ที่ 1-1.5 พันล้านบาท, Non-Oil อยู่ที่ 2-2.5 พันล้านบาท และที่เหลือเป็นรองรับในการลงทุนใหม่ หวังสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว 

โดยในส่วนของ Non-Oil ปีนี้ PTG เตรียมขยายสาขาร้านกาแฟพันธุ์ไทย และ คอฟฟี่ เวิลด์ เพิ่มเป็น 1,523 สาขา, ร้านสะดวกซื้อ Max Mart เพิ่มเป็น 369 สาขา, ร้านจำหน่ายก๊าซ LPG บรรจุถัง (Gas Shop) เพิ่มเป็น 323 สาขา และสถานีอัดบรรจุไฟฟ้า (EV Charging) เพิ่มเป็น 65 จุดชาร์จ เป็นต้น