จับประเด็นหุ้นเด่น

รายงานพิเศษ : “น้ำมันแพง&การใช้ไฟฟ้า” พุ่ง สร้างโอกาสเติบโตพลังงานทดแทน


03 กรกฎาคม 2566
ทิศทางราคาน้ำมันและความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มีมาก   สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจพลังงานทดแทน  รวมทั้งผลงานของบริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER)  สะท้อนจากการเป็น1ใน21 บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกเป็นหลักทรัพย์เข้าใหม่ในดัชนี sSET  
รายงานพิเศษ SUPER.jpg
ราคาน้ำมันปัจจุบันแม้จะปรับลดลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงและมีความผันผวนตามความต้องการใช้  โดย ในช่วง 4 เดือน (ม.ค.- มิ.ย. 66)  ราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบ อยู่ในระดับ 77.45 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันเบนซิน อยู่ในระดับ 93.64 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดีเซล อยู่ในระดับ 94.17 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล  

ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) คาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันช่วงครึ่งปีหลัง 2566 ว่า ราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบ จะอยู่ระหว่าง 81-87 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ราคาน้ำมันเบนซิน จะอยู่ระหว่าง 96-105 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดีเซล จะอยู่ระหว่าง 91-98 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ส่วนการใช้พลังงานในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2566 (ม.ค.-เม.ย.)  สนพ. รายงานว่า การใช้พลังงานขั้นต้น เพิ่มขึ้น 3.8% จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น 
          
และในส่วนของการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย (เชิงพาณิชย์) เพิ่มขึ้น 0.4%  จากการใช้น้ำมันสำเร็จรูป 3.8%  ผลมาจากการเดินทางเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการใช้น้ำมันเครื่องบินที่เพิ่มถึง 89.1% และน้ำมันเบนซิน 6.2% ในขณะที่พลังงานอื่นๆ มีการใช้ลดลง โดยการใช้ลิกไนต์/ถ่านหินในภาคอุตสาหกรรม ลดลง 8.9% 

การใช้ไฟฟ้าในช่วง 4 เดือนแรก ปี 2566  เพิ่มขึ้น 0.4% มีการใช้รวมทั้งสิ้น 64,285 กิกะวัตต์ชั่วโมง  โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในภาคธุรกิจ และอื่นๆ สอดคล้องกับเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจการท่องเที่ยว ในขณะที่ภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรมใช้ไฟฟ้าลดลง ปัจจัยจากการผลิตเพื่อการส่งออกลดลง ส่วนการใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรม ลดลง 3.7% และการใช้ไฟฟ้าในภาคครัวเรือน ลดลง 0.4%

ความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดของระบบ 3 การไฟฟ้าของปี 2566 (ในรอบ 4 เดือนแรกของปี 66) เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2566 เวลา 14.28 น. อยู่ที่ระดับ 33,623 เมกะวัตต์ ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับความต้องการพลังไฟฟ้าสูงสุดในระบบ 3 การไฟฟ้าของปีก่อน 

ราคาน้ำมันที่ยังอยู่ในระดับสูงและความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา  ส่งผลดีต่อธุรกิจพลังงานทดแทน  โดยเฉพาะบริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) ที่ประกอบธุรกิจด้านการปฏิบัติการดูแลบำรุงรักษาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และการถือหุ้นในบริษัทย่อย และ/หรือบริษัทร่วม (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน  ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้  บริษัทเป็น 1 ใน 21 บริษัทที่ได้รับคัดเลือกเป็นหลักทรัพย์เข้าใหม่ในดัชนี sSET  

โดยกลุ่มหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นสามัญที่มีสภาพคล่องในการซื้อขายสม่ำเสมอ และมีสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายย่อยตามที่กำหนด สะท้อนพื้นฐานแข็งแกร่ง และแนวโน้มผลการดำเนินงานเชิงบวก  เชื่อว่าจะสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนสถาบันให้พร้อมเพิ่มน้ำหนักการลงทุน และสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งทางด้านผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “จอมทรัพย์ โลจายะ” ระบุแผนธุรกิจปีนี้ บริษัทฯยังเน้นสร้างการเติบโตต่อเนื่อง จากโครงการที่จะทยอย COD ได้แก่ โครงการพลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์กับมหาวิทยาลัยมหิดล กำลังการผลิต 12.15 เมกะวัตต์ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเวียดนาม "Soc Trang" กำลังการผลิต 30 เมกะวัตต์ในครึ่งปีหลังปีนี้ โดยตั้งเป้ารายได้แตะที่ 10,000-11,000 ล้านบาท หรือเติบโต 10% จากปีก่อน
        
"ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา SUPER มุ่งมั่นในการขยายธุรกิจ ในโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทุกรูปแบบ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต พร้อมมองหาโอกาสการลงทุนควบคู่กัน ซึ่ง SUPER มีทั้งโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมทั้งในและต่างประเทศ  โครงการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคาร (โซลาร์รูฟท็อป) และโครงการการขยายงานสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชน (Private PPA) และโครงการ SPP HYBRID จึงมั่นใจว่าสนับสนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในอนาคต " นายจอมทรัพย์ กล่าว